วันที่ 16 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หอศิลปาจารย์ ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวีบูรณะเขตต์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้จัดพิธีบวงสรวง เบิกเนตรท้าวเวสสุวรรณ อาฬวกยักษ์ เทพพุทธสาวกผู้คอยอภิบาลพระพุทธเจ้าและพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ที่ปรากฏเบื้องซ้ายและขวาข้างองค์พระพุทธชินราช ผลงานการปั้น ของลุงจ่าทวี หรือ จ่าสิบเอกทวี บูรณะเขตต์ ศิลปาจารย์คนแรกของประเทศไทย โดยมี พระราชรัตนสุธีเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนางศศิวัณย์ ศรีพรหม ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธานฝ่ายฆราวาส
นายธรรมสถิตย์ บูรณเขตต์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี ได้กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี ได้สร้างหอศิลปาจารย์แห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่คุณพ่อ จ่าสิบเอกทวี บูรณะเขตต์ ผู้ก่อตั้งโรงหล่อบูรณะไทย และ “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี” ครูช่างผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์ประติมากรรม “พระพุทธชินราช” จำลองที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามเหมือนองค์จริงมากที่สุด จนได้รับการยกย่องให้เป็น “เพชรน้ำเอกแห่งวงการช่างศิลป์” และได้รับรางวัล “ศิลปาจารย์” ในปีพุทธศักราช 2565 เป็นคนแรกในประเทศไทย
ภายในหอศิลปาจารย์จะประกอบด้วยประวัติและผลงานของจ่าทวี และผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ได้รับความเคารพและศรัทธาจากมหาชนอย่างมาก คือ ท้าวเวสสุวรรณ และอาฬวกยักษ์ ที่คุณพ่อได้ปั้นต้นแบบไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ 2514 ซึ่งยักษ์ทั้ง 2 ตนนี้ ประดิษฐานอยู่ด้านข้างองค์พระพุทธชินราชจำลองที่เราได้พบเห็นอยู่ภายในวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช
โดยตนได้นำผลงานของคุณพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ.2514 มาลงยาลงสีใหม่อย่างสวยงามเป็นแห่งแรก และนำมาประดิษฐานที่หอศิลปาจารย์ในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวีแห่งนี้ เพื่อให้เป็นที่เคารพศักการะของเหล่าคนที่ศรัทธา ท้าวเวสสุวรรณ และอาฬวกยักษ์ ซึ่งเป็นการประดิษฐานครั้งแรกของประเทศไทยที่นำมาประดิษฐานทั้ง 2 องค์ และสร้างเป็นตำหนักให้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ ที่มีบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์มาก เป็นจตุโลกบาลปกครองโลก โดยมีอสูรหรือยักษ์เป็นบริวาร มีตะบองวิเศษ เรียกว่า คทาวุธ เป็นอาวุธประจำกาย เมื่อท้าวเวสสุวรรณปล่อยไปเวลาโกรธย่อมตีศรีษะเหล่ายักษ์ร้ายให้ตกลงแล้วกลับไปตั้งอยู่ในเงื้อมือของท้าวเวสสุวรรณอีก นอกจากเป็นเทพผู้พิทักษ์ดูแลโลกแล้ว ท้าวเวสสุวรรณยังมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น โบราณจึงสร้างรูปท่านไว้ เป็นเทพพุทธสาวกเพื่อคอยอภิบาลพระพุทธเจ้าและพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา จึงปรากฏที่เบื้องซ้ายด้านข้างขององค์พระพุทธชินราช อีกทั้งยังได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบันบุคคล คือเป็นอริยะบุคคลขั้นต้น อันไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดาอีกด้วย
ส่วนอาฬวกยักษ์ เป็นอสูรหรือยักษ์เสนาบดีของท้าวเวสสุวรรณ มีผ้าโพกศีรษะเป็นอาวุธอันวิเศษสุดในโลก เรียกว่า ทุสสาวุธ เมื่อโกรธจะเปลื้องผ้าโพกศีรษะออก หากกวัดแกว่งไปในอากาศก็จะทำให้ฝนไม่ตกตลอด 12 ปี ถ้าปล่อยลงบนแผ่นดิน ต้นไม้จะเหี่ยวแห้งและไม่งอกอีกตลอด 12 ปี หากปล่อยในมหาสมุทรน้ำจะเหือดแห้งหมด ถ้าปล่อยที่ภูเขา ภูเขาจะพังทลาย ตามตำนานกล่าวว่า ในอดีตอาฬวกยักษ์ เคยเป็นมนุษย์ที่มีความโมโหร้าย แต่มีนิสัยชอบบำเพ็ญเพียร จึงได้เกิดเป็นยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ในชาติต่อมา อาศัยอยู่ที่เมืองอาฬวี ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงเสร็จไปโปรดเมืองอาฬวี ทรงเอาชนะอาฬวกยักษ์ด้วยขันติธรรม อันมีเมตตาธรรม เป็นบุรพภาคด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีการสร้างรูปปั้น อาฬวกยักษ์ ไว้ที่ด้านขวาข้างองค์พระพุทธชินราช เพื่อคอยอภิบาลพระพุทธเจ้าและพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาต่อไป
สำหรับท่านใดที่มีจิตศรัทธา อยากกราบสักการะ ท้าวเวสสุวรรณ และอาฬวกยักษ์ ที่บริเวณหอศิลปาจารย์ ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี ก็สามารถเดินทางเข้ามาได้เลยไม่ต้องเสียค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ เปิดให้ชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
////////////////////////