วันที่ 26 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องราวของเจ้าหนี้โหดรายนี้ ได้รับการเปิดเผยจาก นางอรนุช ชัยชาญ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 หลังจากลงพื้นที่ร่วมกับ ปลัดอำเภอวังทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแก่งโสภา รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง ผู้แทนสำนักงานยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลก เข้าช่วยเหลือลูกหนี้ จำนวน 2 ราย ในพื้นที่ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ที่ถูกเจ้าหนี้ อยู่ในพื้นที่ ต.บ้านกลาง ได้บังคับให้ใช้เงินไม่ต้นทบดอก แพงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด พร้อมทั้งยึดบ้านและที่ดินลูกหนี้เอง มีการข่มขู่ลูกหนี้ จนไม่สามารถอยู่ได้ บางรายก็ถูกยึดที่นากว่า 30 ไร่
นางอรนุช ชัยชาญ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า หลังจากทางนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ ต.บ้านกลาง อ.วังทอง ได้มีประชาชน ซึ่งเป็นผู้พิการ ได้ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือ เนื่องจากถูกเจ้าหน้าโหดรายนี้คิดเงินดอกเบี้ยเกินตามกฎหมายกำหนด จนเดือดร้อนไม่สามารถคืนเงินทั้งต้นและดอกได้ สุดท้ายก็มาบังคับยึดบ้าน ยึดที่ดิน ล็อคบ้านไม่ให้อยู่ได้ ซึ่งมีผู้เดือดร้อนทั้งตำบลหลาย 10 ราย แต่ที่ทาง พมจ.เข้าไปดูแล เนื่องจากรายแรกเป็นผู้พิการ ทางภรรยาไปกู้เงินจากเจ้าหนี้รายนี้จำนวน 10,000 บาท ส่งดอกเบี้ยวันละ 100 บาท โดยเอาทะเบียนบ้านตัวจริงค้ำประกันไว้เป็นหลักฐาน มีผู้เป็นสามี ที่พิการ ไปแต้มโป้ (พิมพ์ลายนิ้วมือ) เป็นพยานหลักฐาน หลังจากได้เงินแล้วภรรยาก็ได้หนีออกจากบ้านไป ทำให้ตอนนี้จากหนี้ 10,000 บาท กลายเป็น 100,000 บา ท และเมื่อวันที 23 มี.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหนี้ได้มาติดป้ายประกาศขาย/เช่าบ้านหลังดังกล่าว พร้อมกับบุกรุกไปขนย้ายทรัพย์สินภายในบ้านมากองหน้าบ้าน ซึ่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับลูกหนี้ในหมู่บ้านหลายคน
ขณะที่ราย 2 เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ได้ไปยืมเงินกู้นอกระบบกับเจ้าหนี้รายนี้จำนวน 100,000 บาท โดยใช้ที่ดิน ( สปก.)ของพี่สาวต่างบิดา เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันไว้ สัญญาตกลงกันว่าต้องชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาท ต่อมาส่งไม่ไหว ทำให้เจ้าหนี้ให้ไปทำสัญญาใหม่ เป็นรายวัน โดยดอกเบี้ยจนถึงวันครบกำหนดจำนวน 30,000 บาท และนำไปทบเป็นเงิน กลายเป็นหนี้ 130,000 บาท โดยมีกำหนดชำระดอกเบี้ย วันละ 1,300 บาท ซึ่งต้องชำระทุกวันก่อนเที่ยง หากเลยเที่ยงวัน จะค่าปรับเพิ่ม 130 บาทต่อวัน ซึ่งช่วงแรกก็สามารถส่งได้ จนกระทั่งคลอดลูกน้อย ก็ไม่มีรายได้ และไม่สามารถส่งได้ จนเจ้าหนี้ก็ได้ข่มขู่จะยึดบ้านและฟ้องไล่ครอบครัวออกจากบ้าน หากไม่มีเงินก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านตนเอง เดือนละ 3,000 บาท โดยที่จะต้องจ่ายรายวัน วันละ 100 บาท ก่อนเที่ยงเหมือนเดิม จากนั้นลูกหนี้รายนี้ได้ถูกกักตัว เนื่องจากมีมีความเสี่ยงสูงที่จะติดโควิด จึงได้ไม่ได้ส่งดอกแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหนี้โทรมาข่มขู่ ประจานและประกาศขายบ้านผ่านเฟสบุ้คส่วนตัวของเจ้าหนี้อีกด้วย ต่อมาก็ได้นำคนงานชายเข้าไปข่มขู่มารดาลูกหนี้ถึงบ้าน กดดันให้ออกจากบ้าน ไม่เช่นนั้นก็จะรื้อบ้านทิ้ง สุดท้ายได้ทำหนังสือยื่นขอความช่วยเหลือจาก รมว.พม.ดังกล่าว
ต่อมาทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับ สำนักงานอัยการภาค 6 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แก่งโสภา , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้นัดเจรจาเพื่อหาทางออกในการชำระหนี้ ระหว่างผู้เสียหายกับเจ้าหนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเจ้าหนี้ไม่มาเจรจาแต่อย่างใด
นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 กล่าวว่า หลายหน่วยงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แก่งโสภา ได้เชิญตัวเจ้าหนี้รายนี้มาเจรจาเพื่อหาทางออก ปรากฏว่าเจ้าหนี้ไม่ยอมมาพบเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะทำหนังสือเชิญอีกครั้ง หากไม่มาพบพนักงานสอบสอนอีกครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ก็จะทำเรื่องขอหมายศาลในการออกหมายจับ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากเจ้าหนี้รายนี้กระทำผิดเข้าช่วยให้กู้และมีดอกเบี้ยเกินตามกฎหมายกำหนด และที่สำคัญไปยึดบ้านประกาศขายบ้านลูกหนี้ตามพละการไม่ได้ ซึ่งจะต้องผ่านศาลตัดสินให้กรมบังคับคดี บังคับคดีในการขายบ้านเท่านั้น อีกทั้งที่ดินที่เจ้าหนี้ยึดไป เป็นที่ดิน สปก. ก็ไม่สามารถซื้อขายได้เช่นกัน ซึ่งจากตรวจสอบว่ามีลูกหนี้ที่เดือดร้อนจากเจ้าหนี้รายนี้แล้วไม่ต่ำกว่า 10 ราย บางรายถูกยึดที่ดินไปกว่า 30 ไร่ก็มี ซึ่งหลังจากนี้หากมีลูกหนี้ หรือผู้เสียหายต้องการให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือก็สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานอัยการ ภาค 6 หรือ สำนักงาน พมจ.พิษณุโลก ได้
///////////