วันที่ 14 ธ.ค.2664 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ต.สมอแข อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง นำคณาจารย์ผู้เสียหายจำนวน 51 คน พร้อมผู้เกี่ยวข้องและกลุ่มนักศึกษาแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงกรณีที่คณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ กกอ. มีมติให้ถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการ ทั้งตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลก จำนวน 51 ท่าน หลังจากมีสื่อมวลชนบางสำนัก (อิศรา)ได้นำเสนอข่าวว่า กกอ. มีมติส่งเรื่องให้สภามหาวิทยาลัยพิษณุโลก ไปพิจารณาทบทวนการดำเนินการแต่งตั้ง 51 คณาจารย์ดำรงตำแหน่งทางวิชาการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด หลังตรวจสอบพบว่า กระบวนการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นไปตามระเบียบหลายประการ
ซึ่งเรื่องนี้ กกอ.ได้มีมติส่งเรื่องคืนให้สภามหาวิทยาลัยพิษณุโลก รับทราบตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่มหาวิทยาลัยพิษณุโลกได้มีหนังสือแจ้งมติสภามหาวิทยาลัยฯ ยืนยันกลับมาว่า การดำเนินการแต่งตั้งคณาจารย์มหาวิทยาลัยทั้ง 13 ราย ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ กกอ.กำหนดแล้ว แต่จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ ของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) พบว่า กระบวนการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยพิษณุโลกทั้ง 51 ราย ไม่เป็นไปตามระเบียบ กกอ. ทำให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลก และคณาจารย์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และเกียรติคุณเป็นอย่างมาก
โดยทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ขอเรียนชี้แจงว่า มหาวิทยาลัยพิษณุโลกเป็นสถาบันการศึกษาเอกชน จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 มีภาระหน้าที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับปริญญา ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงถือว่ามหาวิทยาลัยพิษณุโลก เป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีอำนาจโดยชอบในการแต่งตั้ง และถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 มาตรา 43 (3)
ประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้อยู่ที่ว่ามติของ กกอ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม และ 21 กันยายน 2564 ที่มีมติให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลกพิจารณาถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์รวมจำนวน 51 ท่านนั้น เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 19 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่”
ดังนั้น แม้ประธานกรรมการจะมิได้แต่งตั้งมาจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกอันเป็นการขาดคุณสมบัติไปประการหนึ่งก็ตาม จะกระทำได้เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ 1.กรณีที่ตรวจพบว่าผู้ขอกำหนดตำแหน่งระบุการมีส่วนร่วมในผลงานไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือมีพฤติการณ์ส่อว่ามีการลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือนำผลงานทางวิชาการของผู้อื่นไปใช้ในการนำเสนอของตำแหน่งทางวิชาการโดยอ้างว่าเป็นผลงานทางวิชาการของตนเองหรือ 2.กรณีที่รับการเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการไปแล้ว หากภายหลังตรวจสอบพบหรือทราบว่าผลงานทางวิชาการที่ใช้ในการเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการในครั้งนั้น เป็นการลอกเลียนผลงานของผู้อื่นหรือนำผลงานทางวิชาการของผู้อื่นไปใช้ในการนำเสนอของตำแหน่งทางวิชาการโดยอ้างว่าเป็นผลงานทางวิชาการของตนเองก็ให้สภาสถาบันมีมติถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการดังกล่าวได้
ทั้งนี้ ทนายอนันต์ชัย ขอย้ำว่า กรณีของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลกทั้ง 51 ท่าน ไม่เข้าเหตุที่จะเพิกถอนตำแหน่งทางวิชาการแต่ประการใดทั้งสิ้น ดังนั้น การที่มีบุคคลและสำนักข่าวบางแห่งร่วมกับพนักงานของมหาวิทยาลัยพิษณุโลกบางคน ที่มีหน้าที่รักษาดูแลเอกสารชั้นความลับ กระทำด้วยประการใดๆอันมิชอบด้วยหน้าที่ ให้ผู้อื่นล่วงรู้เอกสารชั้นความลับ และนำเอกสารชั้นความลับนั้นออกเผยแพร่ทางสื่อคอมพิวเตอร์ ด้วยประการที่น่าจะทำให้มหาวิทยาลัยพิษณุโลกและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยพิษณุโลกเสื่อมเสียเกียรติคุณ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง กระผมในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลกจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกคนจนถึงที่สุดทั้งทางแพ่งและอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา164 ,188 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14(1) ซึ่งตนเอง ขอยืนยันจะเดินหน้าฟ้องกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม และสำนักข่าวอิศรา 100 ล้านบาท ทั้งคดีเพ่งและคดีอาญาให้ถึงที่สุด
//////////////