เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 90/1 ม.3 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของนายสำรวย ภัทรวงศ์วิสุทธิ์ อายุ 70 ปี อยู่บ้านเพียงลำพังคนเดียว ได้ร้องเรียนผ่านผู้สื่อข่าวว่า ตลอดระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนบ้านที่พักอาศัยถูกขโมยมาลักเงินสดทรัพย์สินมีค่าไปเป็นจำนวนมาก นับได้รวม 5 ครั้ง แต่ละครั้งได้ไปแจ้งความกับร้อยเวรพื้นที่เกิดเหตุ แต่คดีไม่มีอะไรคืบหน้าเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยครั้งแรก เมื่อวันที่21เมษายน 64 คนร้ายขโมยปืน แจ้งความที่ สภ.เมืองพิษณุโลก ครั้งที่ 2 คนร้ายขโมยเงินไป 18,000 บาทพร้อมบัตรเอทีเอ็ม แจ้งความที่ สภ.เมืองพิษณุโลก(มน.) และวันที่ 20 พ.ย. 64 คนร้ายเข้าไปขโมยเงิน 10,000บาท แจ้งความที่ สภ.เมืองพิษณุโลก(มน.) และครั้งที่ 4 วันที่ 10พ.ย. คนร้ายเข้าไปขโมยเงิน 14,000 บาท ยังไม่ได้แจ้งความ แต่ได้ไปร้องเรียนกับตำรวจภูธรภาค 6 ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกอย่างยังไม่มีอะไรคืบหน้าเหมือนเดิม ทางตำรวจอ้างไม่มีหลักฐาน จึงต้องร้องผ่านสื่อช่วยเหลือ
นายสำรวย เปิดเผยว่า แต่ก่อนตนมีครอบครัวที่มั่นคง ช่วงหลังตนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เนื่องจากเป็นอัมพฤกษ์กล้ามเนื้ออ่อนแรง จนไม่สามารถทำงานหนักได้ ต้องมานอนรักษาตัวเองที่บ้าน ทำให้ภรรยาเลิกราไปอยู่ที่อื่น ส่วนลูกๆ 4 คน ออกไปมีครอบครัวกันหมด นานๆครั้งจะมาหา ตนจึงต้องอยู่คนเดียว ช่วงหลังพอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่ไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านหรืองานหนักได้
นายสำรวย กล่าวว่า ทุกวันนี้ตนมีรายได้จากห้องเช่าที่เคยทำไว้ก่อนจะเป็นอัมพฤกษ์ จึงมีเงินเก็บแต่ละเดือนจำนวนหลายหมื่นบาท ต่อมามีชายหนุ่มคนหนึ่งมาอาศัยอยู่กับพ่อของเขาที่ห้องเช่าของตน และได้มาเที่ยวหาคลุกคลีอยู่กับตนทุกวัน เนื่องจากไม่มีงานทำ ทำให้ตนไว้วางใจวานให้ไปซื้อยารักษาโรคที่ร้านขายยาและซื้อกินของใช้ ให้ค่าจ้างครั้งละ 300-400 บาท รวมทั้งได้ใช้ให้ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มให้อยู่เป็นประจำ ตอนแรกตนคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่มาภายหลัง ปรากฏมีคนเข้ามาขโมย เงินในห้องนอนกว่า 100,000 บาท พร้อมอาวุธปืน 1 กระบอก ราคาเป็นแสนบาท เช่นกัน รวมแล้ววันนั้นตนสูญเงินและทรัพย์สินไปกว่า 200,000 บาท จึงได้ไปแจ้งความเอาไว้
นายสำรวยกล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเหตุครั้งแรกแล้ว ปรากฏว่ามีคนร้ายเข้าขโมยเงิน ในบ้านของตนอีกรวม 4 ครั้ง และเป็นช่วงที่ตนต้องกินยารักษาโรค ทำให้หลับไม้รู้สึกตัว แต่ละครั้งคนร้ายได้เงินไปไม่ต่ำกว่าครั้ง 10,000- 20,000 บาท ตนเชื่อว่าเป็นคนๆเดียวกันที่เข้าออกบ้านตน และรู้รหัสเอทีเอ็มของตน หลังตำรวจมาตรวจที่เกิดก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ส่วนภาพวงจรปิดตามที่ต่างๆและจุดที่คนร้ายไปกดเงินก็ไม่มี อ้างว่าเสีย ทำให้ไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ได้ ตนเองก็สงสัยมากว่าตำรวจไม่สนใจคดีของตนเลย ทั้งที่ตนแจ้งเบาะแสไปแล้ว คนที่ตนสงสัยไม่เคยกลับมาที่บ้านตนเลย ผิดกับแต่ก่อนมาทุกวันๆละ หลายรอบ ครั้งหลังสุดทางธนาคารโทรมาบอกตน ว่ามีคนพยายามกดเงินออก แต่ไม่สามรถกดได้ ถ้าวันนั้นคนร้ายกดเงินได้ ตนต้องสูญเงินอีกกว่าแสนบาท แต่โชคดีตนได้อายัดบัตรเอทีเอ็มได้ทัน เนื่องจากบัตรเอทีเอ็มถูกขโมยไปก่อนหน้าแล้ว พร้อมเงินสดอีกหมื่นกว่าบาท
นายสำรวย กล่าวว่า ตนเคยไปร้องเรียนที่ตำรวจภูธรภาค 6 เพราะนอกจากนั้นคนร้ายยังพยายามสร้างสถานการณ์ โดยเทน้ำมันพืชลงกับพื้นห้องครัว เพื่อให้ตนลื่นล้มได้รับบาดเจ็บ หรือต้องการให้ตนเสียชีวิต โชคดีที่ตนไม่เป็นอะไรมาก ตนต้องการให้ทางตำรวจช่วยติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ให้ได้ หากยังไม่สามารถจับกุมตัวได้ ตนต้องถูกขโมยรายนี้ขึ้นบ้านเป็นประจำ กลัวว่าสักวันจะไม่ปลอดภัยในชีวิต