ตาประเสริฐลั่นขอตายในที่ดินบรรพบุรุษ ปมลูกสาวขาดผ่อนมือถือถูกยึดที่ 4 ไร่

 วันที่ 9 มิ.ย. 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านพักในพื้นที่ หมู่ 1 บ้านท่าทอง ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน 4 ไร่ ของ นายประเสริฐ  ศรีทอง อายุ 76 ปี และ นางก้อนดิน  ศรีทอง อายุ 64 ปี สองสามีภรรยา ที่ก่อนหน้านี้นางสุรีพร  ศรีทอง อายุ 38 ปี บุตรสาว ได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือกับร้านแห่งหนึ่ง เป็นเงินจำนวน 27,000 บาท วางเงินดาวน์ไป 8,000 บาท ผ่อนส่งได้เพียง 2 งวด แล้วไม่ได้ส่งต่อ ทำให้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจนกรมบังคับคดีต้องนำที่ดินและที่อยู่อาศัยไปขายทอดตลาดในราคา 5 แสนกว่าบาท เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าโทรศัพท์รวมดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวน 37,000 บาท โดยขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนเพราะจะถูกยึดที่ดินและถูกไล่ที่จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ และเรื่องอยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยระหว่างครอบครัวของนายประเสริฐ เจ้าของที่ดิน และบุคคลที่ซื้อที่ดินไป เนื่องจากหากจะซื้อคืนต้องซื้อในราคา 1.6 ล้านบาท ทางครอบครัวยากจนไม่มีกำลังซื้อคืนกลับมาในราคาดังกล่าว และที่ดินทั้งหมดก็เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่บรรพบุรุษอีกด้วย

นายประเสริฐ  ศรีทอง กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะถูกกรมบังคับคดีนำที่ดินไปขายทอดตลาดนั้น มีเจ้าหน้าที่จากร้านจำหน่ายมือถือมาหาตนที่บ้าน ถามว่าตนใช่บิดาของนางสุรีพรหรือไม่ พร้อมกับนำเอกสารบางอย่างมาให้เซ็น แจ้งว่ากรมบังคับคดีส่งมา เพราะนางสุรีพรซื้อโทรศัพท์และค้างชำระ เพื่อให้ตนเซ็นรับทราบแต่ก็ไม่รู้เป็นหนังสือเอกสารอะไร เนื่องจากตนเรียนมาน้อยอ่านหนังสือไม่ออก จึงถามย้ำกลับไปว่าใช่ใบมอบอำนาจรึเปล่า ทางเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่ใช่อีก ไม่มีการพูดจาหรืออธิบายใดๆ ทั้งสิ้น พอมารู้ที่หลังเหมือนถูกหลอกให้เซ็นจนโดนกรมบังคับคดีนำที่ดิน 4 ไร่ พร้อมกับบ้านที่อยู่อาศัยอีก 3 หลัง ไปขายทอดตลาดรู้สึกตกใจมากทำอะไรไม่ถูก เครียดกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน แล้วมีคนนำหมายมาติดหน้าบ้านพร้อมกับถ่ายรูป พอถ่ายรูปเสร็จก็บอกว่าให้แกะออกได้เลยไม่มีอะไร ซึ่งตอนแรกก็รู้สึกโกรธลูกสาวเป็นอย่างมากที่ทำให้ต้องถูกยึดที่ดินของบรรพบุรุษ ทำให้ พ่อ แม่ พี่ชาย เดือดร้อนไปตามๆ กัน เพียงเพราะขาดส่งค่างวดโทรศัพท์มือถือหลักฐาน แต่กลับถูกยึดที่ดินยึดบ้านหลักล้าน สุดท้ายก็ให้อภัยลูกเพราะยอมรับว่าตัวเองก็ผิดจริงๆ ก็รู้สึกเห็นใจ จึงอยากขอวิงวอนผู้ที่ซื้อไปให้ช่วยเห็นใจครอบครัวตนเองและลูกๆ หลานๆ ด้วย อย่าขายคืนเอากำไรมากมายเลย เพราะไม่มีหนทางจะไปทางไหนแล้ว เดือดร้อนมากๆ ถ้าถูกยึดที่ดินจริงขอตายดีกว่าอยู่ ส่วนเงินที่กรมบังคับดี ที่ได้จากการขายบ้านและที่ดินให้กับบุคคลที่  3 แล้วหักจากการใช้หนี้ ให้ทางครอบครัวไปรับในวันที่  22 มิ.ย.นั้น ตนเองไม่ต้องการ แต่อยากได้บ้านและที่ดินคืนพอ

นายศิริศักดิ์  ศรีทอง อายุ 45 ปี บุตรชายคนโต กล่าวว่า ที่ดินพร้อมบ้านที่จะถูกยึดนั้น ทางผู้ที่ซื้อไปได้ติดต่อผ่านนางสุรีพร น้องสาว มาว่าจะต้องจ่ายค่าเช่าเป็นเงินจำนวนเดือนละ 3,000 บาท โดยเริ่มจ่ายให้โอนเงินไปในวันพรุ่งนี้ ครอบครัวตนเองก็ยากจน มีภรรยาที่สายตาไม่ดี และลูกเล็กต้องดูแลอีก 3 คน รายได้ก็ไม่พอกินไปวันๆ ที่พ่อแปลงเดียวหากถูกยึดก็ไม่รู้จะไปอาศัยที่ไหนแล้ว

ด้าน นางสุรินทร์  เกิดคุณธรรม อายุ 63 ปี เพื่อนบ้าน กล่าวว่า รู้สึกสงสารและเห็นใจขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของคุณตาประเสริฐ เพราะจะไม่มีบ้านอยู่แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง สมบัติดั้งเดิมของปู่ย่าตายาย แต่กลับมาถูกขายเพียงเพราะโทรศัพท์มือถือราคาไม่กี่หมื่นบาท กลายเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลาย ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่นำเอกสารมาให้เซ็นก็ไม่อธิบายว่าคือเอกสารอะไร จนคนแก่ยอมเซ็นให้เหมือนกับว่ามาหลอกคนแก่ให้เซ็นยินยอม นอกจากนี้ผู้ที่ซื้อที่ดินไปยังเคยพูดว่าชอบที่ดินแปลงนี้มากเพราะที่สวยด้านหน้าอยู่ติดถนน ส่วนด้านหลังอยู่ติดริมแม่น้ำน่าน.

นางสุรีพร ศรีทอง อยู่บ้านเลขที่  94/2 หมู่  1 ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือ   กล่าวว่า ตอนนี้รอว่าทางอำเภอจะนัดบุคคลที่ 3 มาคุยเจรจาไกล่เกลี่ยที่ดิน เพื่อให้ได้ราคาที่ครอบครัวเรามีกำลังส่งเงินไหว  เนื่องจากครอบครัว 11 ชีวิต อยู่อาศัยในที่ดินนี้เป็นมรดกชิ้นเดียวชิ้นสุดท้าย หากต้องออกจากที่ดินก็ไม่รู้จะไปไหนกำลังรอวันนัดเจรจา สำหรับที่ดินทางบุคคลที่ 3 จะขายคืนในราคา 1.6 ล้านบาท โดยระหว่างนี้แจ้งให้จ่ายค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท แต่ได้ต่อรองเหลือเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งกำหนดจ่ายเงินเดือนแรกจะครบในวันที่ 10 มิถุนายน 63 นี้ (วันพรุ่งนี้)ซึ่งทางบ้านยังไม่มีเงินพอจ่ายให้เค้า เพราะตนที่ขายหมาล่า จากเดิมก่อนโควิด 19 มีรายได้ในการขายวันละพันบาทกำไรครึ่งๆ แต่พอมีโควิด 19 ประกอบกับเด็กปิดเทอมทำให้รายได้ลดลงขายของได้เพียงวันละ 400-500 บาท  บางวันขายได้ร้อยกว่าบาทก็มี ลำพังรายจ่ายชีวิตประจำวันแทบไม่มีเหลืออยู่แล้ว  แต่ก็จะพยายามหาเงินเพื่อจ่ายให้ครบ เพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวเดือดร้อนไปมากกว่านี้

ส่วนเรื่องการถวายฏีกา เป็นเรื่องที่ทางบ้านพี่ชายซึ่งมีผู้พิการอาศัยอยู่ มีหลายหน่วยงานช่วยกันปลูกสร้าง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลตามโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีฯ ในโอกาสทรงเจริญพระชมมายุ 5 รอบ 60 พรรษา 2 เมษายน 2558 น่าจะเป็นผู้เดือดร้อนมากที่สุดกับเรื่องนี้ ฐานะยากจนและหากไม่อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีที่ไปเลย เตรียมถวายฏีกาพึ่งพระบารมี ในหลวงรัชการที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ให้ช่วยเหลือให้ บุคคลที่ 3 ขายที่ดินคืนในราคาใกล้เคียงกับราคาที่ประมูลจากบังคับคดีไป

 

…………………………………………………………………………………………………..

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 5 มิถุนายน 2563  ร้องศูนย์ดำรงธรรมช่วยไกล่เกลี่ยซื้อที่ดินคืน ซื้อมือถือขาดส่งโดนบังคับคดีขายที่ 4 ไร่

8 มิถุนายน 2563  เปิดใจลูกหนี้มือถือสู่การถูกยึดที่ดิน 4 ไร่ วิงวอนผู้ประมูลได้ขายคืนในราคาไม่สูงเกินไป

แสดงความคิดเห็น