เปิดใจลูกหนี้มือถือสู่การถูกยึดที่ดิน 4 ไร่ วิงวอนผู้ประมูลได้ขายคืนในราคาไม่สูงเกินไป

จากกรณี นางสุรีพร ศรีทอง อายุ 38 ปี  อยู่บ้านเลขที่  94/2 หมู่  1 ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอพรหมพิราม ในราคาประมาณ 35,428 บาท โดยวางเงินดาวน์ 8,500 บาท เหลือค้างชำระ 26,928 บาทผ่อนส่งได้ 2 งวด เป็นเงิน 2,496 บาท ไม่ได้ส่งต่อ (ขาดส่ง 16 งวด เป็นเงิน 24,432 บาท) เนื่องจากตนเองมาขายของในตัวเมือง และไม่มีเงินส่ง จนระยะเวลาผ่านไป ร้านมือถือดังกล่าว ได้ฟ้องร้องและมีหนังสือมาที่บ้านพ่อ ที่พรหมพิราม หลายรอบ แต่พ่อก็ไม่รู้ว่าหนังสืออะไร จนกระทั่งเรื่องถึงกรมบังคับคดี ได้ขายที่ดินที่ชื่อมีพ่อ พี่ชายและ ตนเอง จำนวน 4 ไร่ ในราคา 5.3 แสนบาท เพื่อที่จะนำเงินไปใช้หนี้ในการซื้อมือถือ รวมดอกเบี้ยด้วย ประมาณ 37,000 บาท ส่วนที่เหลือจากการขายที่ดินนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการนำคืนอยู่ ส่วนที่ดินนั้นทางกรมบังคับคดี ได้ขายไปให้บุคคลที่ 3 แล้ว ซึ่งตนเองก็คิดว่าเป็นที่มรดก อยากจะซื้อคืน แต่บุคคลที่ 3 ที่ซื้อที่ดินไป คิดราคาไร่ละ 4 แสนบาท จำนวน 4 ไร่ เป็นเงิน 1.6 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าเป็นเงินที่สูง ตนเองก็ไม่มีรายได้อะไร อยากให้ขายในราคาที่เป็นธรรม เพื่อตนเองจะได้มีกำลังในการซื้อคืน กลับมามรดกของครอบครัวเหมือนเดิมได้

ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี พร้อมด้วย เจ้าหน้าสำนักงานอัยการ นำหลักฐานจำนวนเงินเหลือหักค่าผ่อนมือถือ เป็นเงินประมาณ 472,000 มามอบให้ตนตรวจสอบและเซ็นต์รับแต่ทั้ง 3 ครอบครัวไมมีใครกล้าเซ็นต์ เนื่องไม่รู้จะเจออะไรอีกทั้งไม่อยากได้เงิน แต่อยากได้ที่ดินและบ้านคืนเท่านั้น  และอยากขอความเห็นใจจากบุคคลที่ 3 ที่ประมูลที่ไปได้ก่อน

ขณะที่ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างขายหม่าล่าข้างทาง ถนนพระร่วง  อ.เมืองพิษณุโลก   ของนางสุรีพร ศรีทอง เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าจะทำอย่างไงต่อไป โดยนางสุรีพรฯ ได้ให้สัมภาษณ์พร้อมน้ำตาด้วยเสียงสั่นเครือว่า ตนยอบรับผิดทุกอย่าง ตนเป็นหนี้เขาจริง ขาดส่งจริง แต่เพราะตอนนั้นตนเองไม่มีเงินจริงๆ จึงเมินเฉยเรื่อยมาจนมาถึงวันนี้วันที่ มรดกของครอบครัวชิ้นสุดท้ายคือที่ดินพื้นที่ 4 ไร่ โดยยึดและนำไปขายทอดตลาดแล้ว ตนคาใจหากจะยึดจริงอยากให้ยึดในส่วนของตน บ้านของตนเพียงผู้เดียวตนยอมรับได้ แต่ทำไมต้องไปยึดบ้านของพ่อซึ่งแก่มากแล้ว บ้านพี่ชายซึ่งมีภรรยาเป็นผู้พิการ และบ้านหลังนั้นยังเป็นบ้าน สสวท. ตามโครงการสมเด็จพระเทพฯ ที่สร้างให้คนผู้พิการ ทำไมไม่ยึดที่บ้านของตนเองเพียงคนเดียว ตอนนี้ตนเครียดมาก ที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนตนร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นหน้าพ่อ เพราะพ่อแก่มากแล้วเขาเครียดมาก ถึงขั้นเอ่ยปากว่าหากไม่มีที่ ไม่มีบ้านอยู่พ่อก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม สงสารพี่ชายและพี่สะใภ้ที่พิการ และหลานที่จะไม่มีบ้านอยู่ ตนอยากจะวิงวอนขอความเห็นใจจากผู้ที่ประมูลที่ไปได้ในราคา 530,000 ตนพยายามติดต่อขอซื้อที่คืนในราคาที่แตกต่างไม่มากนัก แต่ถ้าขายคืนให้แต่ขายในราคา 1.6 ล้านบาท ซึ่งตนบอกตรงๆว่าตนไม่มีปัญญาหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น อยากขอความเห็นใจช่วยลดราคาลงมา เพื่อให้ตนได้พอมีกำลังในการซื้อคืนด้วย

นอกจากนี้ตนอยากฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนที่เป็นหนี้ อย่าคิดว่าเป็นหนี้ แล้วเพิกเฉยไม่จ่ายก็แค่ถูกฟ้องล้มละลายหรือติดแบล็คลิสต์เคดิสบูโรเหมือนตน ความจริงมันไม่ใช่เลยคดีมันหนักหนาสาหัสมาก ใครที่เป็นหนี้อยู่ตอนนี้อยากให้ไปคุยกับเจ้าหนี้ไปขอไกล่เกลี่ยและชดใช้คืนในเจ้าหนี้ซะ อย่าให้เหมือนตนที่เป็นหนี้เพียง 37,000 แต่กลับถูกยึดที่พร้อมบ้านในราคาถึง 530,000 บาท จากนี้ 11 ชีวิต ที่มีทั้งคนแก่ คนพิการ และเด็ก ยังไม่รู้จะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน หากต้องโดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ

โดยหลังจากนี้ทางอำเภอพรหมพิราม และกรมบังคับคดี จะได้ติดต่อกับบุคคลที่  3 นัดเจรจากับครอบครัวของตนเองอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือให้บุคคลที่  3 ที่ซื้อที่ดินและบ้านไปแบบถูกต้อง ขายคืนในราคาที่ไม่สูงเกินอีกครั้ง

//////////

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 5 มิ.ย.63   ร้องศูนย์ดำรงธรรมช่วยไกล่เกลี่ยซื้อที่ดินคืน ซื้อมือถือขาดส่งโดนบังคับคดีขายที่ 4 ไร่

 

 

 

แสดงความคิดเห็น