วันที่ 7 ม.ค.63 นายสมศักดิ์ แสนศิริ สหกรณ์จังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานเปิดจุดรับซื้อพืชผลทางการเกษตร ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรได้มีอำนาจการต่อรองและร่วมแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำ ใช้กลไกสหกรณ์เป็นตลาดรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรโดยตรงตามเกณฑ์คุณภาพ โดยมีนายสุเทพ ช่วยอุระชน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมสหกรณ์ 5 นายวรชัย กาญจนโกสุม ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรนครไทย จำกัด พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรทั่วไป ร่วมให้การต้อนรับ ณ บริเวณลานรับซื้อผลผลิตของสหกรณ์การเกษตรนครไทย จำกัด อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
นายสมศักดิ์ แสนศิริ สหกรณ์จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า สหกรณ์การเกษตรนครไทย จำกัด เป็นสหกรณ์หลักระดับอำเภอที่ได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรจากสมาชิกและเกษตรกรในชุมชน ส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพและกระจายรายได้ให้เกษตรกรมีเงินเหลือเพียงพอชำระหนี้ ปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิก จำนวน 4,649 คน มีทุนดำเนินงาน 286,763,919.74 บาท สหกรณ์ดำเนินธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ธุรกิจแปรรูป และธุรกิจรวบรวมผลิตผลที่เริ่มดำเนินการในปีนี้ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างลานตาก ขนาด 3,200 ตารางเมตร จากโครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรจัดเก็บผลผลิตทางการเกษตร (แก้มลิง) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อเสริมศักยภาพสหกรณ์ให้มีความพร้อมเป็นจุดบริการรวบรวมรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร จากเกษตรกรสมาชิกและเกษตรกรทั่วไปได้อย่างทั่วถึง เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตเกษตรได้ในราคาที่เป็นธรรม ลดค่าใช้จ่ายการขนส่งพืชผลทางการเกษตร
นายสมศักดิ์ แสนศิริ กล่าวอีกว่า สหกรณ์การเกษตรนครไทย ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จัดงานเปิดจุดรับซื้อพืชผลทางการเกษตรจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป สำหรับอำเภอนครไทย มีพื้นที่เพาะปลูกข้าว จำนวน 80,000 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 140,000 ไร่ และมันสำปะหลัง จำนวน 80,000 ไร่ ซึ่งบรรยากาศการเปิดจุดรับซื้อผลผลิตวันแรก มีสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ให้ความสนใจ นำผลผลิตข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง มาจำหน่ายให้กับทางสหกรณ์ ซึ่งได้กำหนดเกณฑ์ราคารับซื้อผลผลิตข้าวเหนียวพันธุ์ กข 6 ราคาตันละ 16,000 บาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาตันละ 7,800 บาท และมันสำปะหลัง ราคาตันละ 2,100 บาท ซึ่งเป็นราคารับซื้อที่สูงกว่าท้องตลาด สร้างความพอใจให้แก่เกษตรกรที่นำผลผลิตมาขายเป็นอย่างมาก เพราะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น