นคร มาฉิม ไม่หวั่นโดนฟ้องเขียนเชียร์ทักษิณ อ้างมีขบวนการสมคบคิดล้มเพื่อไทย

 วันที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่จังหวัดพิษณุโลก นายนคร  มาฉิม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย จ.พิษณุโลก 4 สมัย กำลังเป็บุคคลทางการเมองที่ประชาชนและคอการเมืองให้ความสนใจ จากบทบาทและท่าทีการแสดงออก โดยเฉพาะ 26 กรกฏาคม 2561 ที่ผ่านมา ในวันคล้ายวันเกิด  ทักษิณ  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี นายนครได้เขียนลงเฟซบุ๊คส่วนตัว    ใจความโดยสรุป เปิดโปงถึงขบวนการล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ระบุว่า มีแนวร่วมฝ่ายอนุรักษนิยม พร้อมทั้งกลุ่มทุน เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก และเครือข่ายข้าราชการ   จากนั้นนำมาถึงกระแสฮึ่ม ๆ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาขู่ว่าจะมีการฟ้องร้องนายนคร  ในวันนี้ นายนคร  มาฉิม ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในจ.พิษณุโลกหลายแขนง ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของเส้นทางการเมืองที่แจ้งเกิดกับพรรคประชาธิปัตย์  กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และประกาศอยู่คนละขั้ว กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

นายนคร  มาฉิม เปิดเผยถึงเส้นทางการเมืองของตนเองว่า  ช่วงรัฐธรรมนูญปี 40 มีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ได้รับการทาบทามจากนายโกศล  ไกรฤกษ์ ( บิดาของนายจุติ  ไกรฤกษ์ ) ให้มาลงสมัครในจ.พิษณุโลก เพราะไม่มีคนลง และเป็นบ้านเกิดตน จึงตัดสินใจลงก็ลง มีโอกาสมาลงสมัครส.ส.ที่เป็นพรรครัฐบาลในเวลานั้นายชวน  หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัครใช่วงปลายปี 2543 มีเวลาหาเสียง 90 วันไปลงเขตอ.นครไทย อ.ชาติตระการและอ.วังทอง บางส่วนวางแผนลงหาเสียงทุกชั่วโมง ใช้พูดบอกว่าผมเป็นลูกชาวบ้านทำงาน ด้านกฎหมายเป็นที่ปรึกษากฎหมายเป็นหัวหน้าสำนักงานทนายเราอยากใช้ความรู้ความสามารถประสบการณ์ที่ทุกข์ยากลำบากมาได้ไปทำงานรับใช้พี่น้องบ้านเรา เพื่อที่จะให้พี่น้องกินดีอยู่ดีขึ้นประชาชนให้โอกาส ผมเองก็งง หัวคะแนนก็ไม่มี เงินก็ไม่มีแต่ชนะแบบฉิวเฉียด 200 กว่าคะแนน มีโอกาสมาเป็นส.ส.ครั้งแรก ดีใจที่สุด ตั้งหน้าตั้งตาทำงานราษฎรที่ไหนเดือดร้อนมีปัญหาทุกข์ยากลำบากไม่ได้รับความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่รัฐองค์กรต่างๆสู้มาตลอดสู้ด้วยหัวใจให้เขาโดยที่ว่าไม่ได้ว่าไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆนำเรื่องความทุกข์ร้อน ไปยื่นกระทู้ไปยื่นมติไปอภิปรายไปยื่นหนังสือถึงส่วนราชการทำมา 4 ปีในช่วงที่พรรคไทยรักไทยพีคสุด ๆ 

หลังจากนั้นก็ต่อสู้เราก็เริ่มเห็นกระบวนการที่ผมเขียนลงในจดหมายนั่นคือเกิดการตื่นตระหนกจริงๆมั นเป็นไปได้ยังไงและองคาพยพทุกอย่างมั่นฟูลทีมหมด ซึ่งผมโชคดี ได้รับโอกาสจากพี่น้องชาวพิษณุโลกมาต่อเนื่องทุกครั้ง ผมถึงบอกว่าสูงสุดในชีวิตของผมแล้วของลูกชาวบ้านไม่มีอะไรต้องสูญเสียแล้วได้เป็นส.ส.แล้ว ผมพูดจากใจจริงๆตายไปไม่ได้เสียดายชีวิตเลยนะใช้ชีวิตมาคุ้มแล้ว ขณะที่การออกจากพรรคประชาธิปัตย์นั้น มาจากฟางเส้นสุดท้าย ตอนนั้นประชาธิปัตย์บอยคอตเลือกตั้งและคุณยิ่งลักษณ์ก็ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 57 เมื่อประชาธิปัตย์ไม่ส่งลงก็เลยตัดสินใจออกเลยขอไปตายเอาดาบหน้า และแสดงจุดยืนตนเองว่าต่อให้ตายก็จะไม่ยอมก้มหัวรับใช้เผด็จการ ออกมายังไม่รู้เลยจะไปที่ไหนสุดท้ายก็ได้ลงพรรคชาติพัฒนา และอาศัยพรรคเล็กลงสู้และก็ชนะจนได้ประมาณเกือบ 30,000  เพื่อไทยได้ประมาณ 9,000 ช่วงนั้นประชาธิปัตย์ไม่ลงก็ สู้กับไทยรักไทยพลังประชาชนเพื่อไทยมาตลอดแต่มาถึงจุดหนึ่งแล้วมันตกผลึกทางความคิด ตกผลึกทางการเมืองได้ตรวจสอบประวัติศาสตร์ทางการเมือง ได้ทำงานวิจัยทางการเมือง ได้ไปสัมผัสเพราะเราเป็นส.ส.มา 4-5 ครั้ง ได้สัมผัสการเมืองทุกพรรคทุกกลุ่มทุกฝ่ายได้มองเห็นมิติทางการเมืองว่าเราจะเลือกฝั่งไหนจึงตัดสินใจด้วยตัวเองว่าขอเลือกอยู่ฝั่งประชาชน ขอเลือกอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ดีกว่ายศหรือตำแหน่ง ไม่สำคัญเท่ากับได้การรับเกียรติจากประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจเลยเดินออกมาสู้เดินออกมาสู้แบบโดดเดี่ยวและมั่นใจว่าเรายืนอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องในกระแสของประชาธิปไตยในกระแสของโลกและปฏิเสธระบอบเผด็จการแบบขาวกับดำ น้ำกับน้ำมันเลยไม่เอากันเลย จากนั้นก็ลาออกจากพรรคชาติพัฒนามาได้ 3 ปีแล้วสถานะปัจจุบันยังไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด

ผู้สื่อข่าวได้ถามนายนครว่า ทำไมการแสดงออกจึงเลือกไทม์มิ่ง ตรงกับกับวันเกิดทักษิณ  ชินวัตร  นายนคร ตอบว่า วันนั้นตนขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงพิษณุโลกก็เหนื่อยมาก มาดูข่าว ก็นึกได้เป็นวันเกิดคุณทักษิณ ระหว่างนั้นก็เลยนึกย้อนประวัติศาสตร์ของเราเอง ประสบการณ์ของเราเอง  เศรษฐกิจมันแย่จริงๆประชาชนทุกข์ร้อนมาก พอเขามาของบ้านเมืองมาเข้าปีที่ 5 ใช้งบประมาณแผ่นดินไปเกือบ 20 ล้านล้านบาท ปีนี้บ้านเมืองมีแต่วิกฤตชาวไร่เดือดร้อน เกษตรกรเดือดร้อนผู้ ใช้แรงงานเดือดร้อนจึงมานึกย้อนยุคบ้านเมืองไทยไม่ไหวแล้ว ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ก็ไปสืบค้นว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะประเทศของเราถูกยึดอำนาจ เพราะประเทศของเราถูกเผด็จการปกครอง องค์กรการค้าโลก ข้อตกลงทางการค้าในทุกภาคส่วน มหาอำนาจ EU ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ทุกประเทศที่อยู่ในโลกของประชาธิปไตยเขารังเกียจเผด็จการเขาบอยคอร์ดไม่คบค้าสมาคมกับประเทศเผด็จการที่ปกครองโดยรัฐบาลทหาร  การค้า ลงทุนซบเซา เกิดวิกฤตเป็นยุคข้าวหมากแพง ผมก็เลยมานึกย้อนหลังว่าเราก็มีส่วนหนึ่งในการล้มรัฐบาลทักษิณ ล้มรัฐบาลสมชาย รัฐบาลสมัคร ล้มรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ จึงคิดในใจ บอกกับตัวเอง เพราะระดับคุณทักษิณเขาไม่รู้จักผมหรอก ผมเป็นส.ส.ตัวเล็กๆคนหนึ่ง ผมไม่เคยติดต่อกับคุณทักษิณ ไม่เคยพูดไม่เคยคุยกับคุณทักษิณเลย แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุดเรามีส่วนร่วมในฐานะที่ล้มท่าน จึงอยากจะขอโทษในโอกาสวันเกิด จึงลำดับเหตุการณ์มาตามนั้นเพราะเราเห็นเรายืนยันว่ากระบวนการสมคบคิดทางการเมือง มีทั้งฝ่ายการเมืองฝ่ายทหาร มีทั้งฝ่ายนายทุนขุนศึกศักดินาอำมาตย์ ข้าราชการบางคน ภาคประชาสังคมบางคนมัน เป็นองคาพยพจริงๆและมีพลานุภาพจริงๆมีศักยภาพสูงจริงๆเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาจึงช่วยกันคิด สร้างวาทกรรมทำลายเบ็ดเสร็จจริงๆและยังยืนยัน ผมเลยประกาศเลยว่าใครจะฟ้องร้องผมใครจะดำเนินคดีกับผมใครจะเอาผมไปฆ่ารันฟันแทงต่อให้ตายผมก็พูดคำเดิมนี่แหละเพราะเป็นความจริงที่ผมได้สัมผัส

นายนคร เปิดเผยต่อว่า ถามว่าผมเสียใจไหมพี่ เพื่อนๆพี่น้องฝ่ายการเมืองมาประณาม มาหยามเหยียบ ดูถูกหาว่าผมทรยศบ้าง เนรคุณบ้าง ไม่รู้บุญคุณคนบ้าง ผมขออนุญาตยกมือท่วมหัวหมด พรรคการเมืองใด รัฐมนตรีท่านใดนักการเมืองท่านใดที่มีบุญคุณต่อผม ผมยกไว้เหนือหัวหมด ไม่เคยเหยียบย่ำ ไม่เคยเนรคุณว่ากล่าวร้ายท่านเลยแม้แต่น้อย แต่ผมเห็นว่าพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่นักการเมืองคนใดก็แล้วแต่ ต่อให้มีบุญคุณท่วมหัวผม ถ้าเกิดว่านักการเมืองท่านนั้นพรรคการเมืองพรรคนั้นทรยศต่อประชาชน ทรยศต่อประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น เราอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันบุญคุณส่วนตัวผมเก็บไว้ไม่ลืมบุญคุณขององค์กรผมไม่ลืม แต่ที่เหนือกว่าองค์กรเหนือกว่าชีวิตเหนือกว่าตัวบุคคลอย่างผมคือประชาชนทั้งประเทศ คือประชาธิปไตยทั้งระบบที่เราควรจะเดินไปด้วยกันร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมแก้ปัญหากันเพราะโครงสร้างของประเทศในปัจจุบันเป็นโครงสร้างของเผด็จการโดยเผด็จการและเพื่อเผด็จการไปอีกนาน เราต้องการที่จะเปลี่ยนโครงสร้างนี้มาเป็นโครงสร้างในระบอบประชาธิปไตยเป็นโครงสร้างของประชาชนเป็นโครงสร้างโดยประชาชนและเพื่อประชาชนคนไหนทำดีประชาชนก็ให้โอกาสคนไหนทำแล้วไม่ดีประชาชนก็เป็นคนใหม่ในกรอบเวลา 4 ปีที่เป็นกรอบในการเลือกตั้งที่เป็นกติกาสากลผมว่ายุติธรรมที่สุดสอดคล้องต้องกันกับระบอบการเมืองการปกครอง ในโลกมากที่สุด

ส่วนเรื่องการจะฟ้องร้องนั้นก็พร้อมที่จะสู้ สู้ด้วยตัวคนเดียวสู้อย่างโดดเดี่ยว แต่จะมาบังคับให้ผมเปลี่ยนคำพูดไม่ได้ ผมยืนหยัดในความจริงและจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไรตนยืนยันทุกคำพูดทุกตัวอักษรที่เขียนลงไป จุดยืนของผมคืออยู่เพื่อประชาธิปไตยสู้เพื่อประชาธิปไตย

สำหรับอนาคตทางการเมืองในการจะไปสังกัดพรรคการเมืองใดนั้น ขณะนี้มีหลายพรรคมี 5 พรรค ที่คุยด้วย และได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ของเพื่อไทยมาบ้างแล้ว แต่ยังนิ่งอยู่ รอให้รัฐบาลประยุทธ์ปลดล็อคทางการเมือง ให้การเมืองได้ขยับเป็นธรรมชาติของการเมืองก่อน ถ้ายังไม่มีพรรคไหนลงจริงๆ ก็อาจจะชวนเพื่อนไปตั้งพรรคเองก็ได้ แต่ถ้าพรรคใดให้โอกาสก็จะไปสู้ร่วม แต่มีเงื่อนไขคือต้องไม่เปลี่ยนจุดยืนจากประชาธิปไตยไปอยู่กับฝั่งเผด็จการ

………………………………………………………………………….

 

 

 

แสดงความคิดเห็น