วันที่ 15 มีนาคม 2560 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พลตำรวจโททวิชชาติ พละศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ มีคนโทรศัพท์หลายสายแจ้งมายังจนท.รับสายโทรศัพท์ของตร.ภาค 6 ลักษณะโทรมาถามว่า เบอร์นี้ใช่ ตำรวจภูธรภาค 6 ใช่หรือไม่ มีนายตำรวจชื่อนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งพอจับใจความว่า มีคนโทรไป แอบอ้างว่า เป็นจนท.ตำรวจภูธรภาค 6 เพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงิน ซึ่งจนท.รับโทรศัพท์ของตร.ภาค 6 แจ้งไปว่า ไม่มีชื่อนายตำรวจดังกล่าว
ผบช.ภาค.6 เปิดเผยว่า ลักษณะนี้ตำรวจภูธรภาค 6 เสียหายเพราะไปแอบอ้าง เรียกรับเงิน จึงสั่งให้ชุดสืบสวนภาค 6 ดำเนินการสืบสวน กระทั่งทราบว่า เป็นแก๊งคอลเซ็นต์เตอร์ โดยสร้างเรื่องหลอกลวง หาเหยื่อผู้เสียหายไปเรื่อยๆ มักสอบถามว่า มีบัญชีเบอร์ธนาคารแห่งนี้บ้างไหม ต้องไปถอนเงิน ต้องไปโอนเงิน หากผู้เสียหลงเชื่อโอนเงินให้ไป ก็ปิดบัญชีหนี ส่วนคนที่ไม่ได้หลงเชื่อ ตำรวจกำลังตามพิสูจน์ พบว่า หลายรายไม่ได้เกิดเหตุในภาคเหนือตอนล่าง แต่มีบางคดีเกิดขึ้นในเขตรับผิดชอบ ล่าสุดผู้เสียหายเพิ่งถูกหลอกโอนเงินไป เหตุเกิดที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบ่งทีมทำงานเป็น 4 ส่วน คือ 1.กลุ่มจัดการทางการเงินหรือหัวหน้าเป็นชาวต่างประเทศ(จีน ) 2. กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ กรณีจะหลอกคนไทย คอลเซ็นเตอร์ก็จะไม่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ถ้าตั้งอยู่ในประเทศไทย ก็จะต้องหลอกคนจีน 3. กลุ่มจัดหาบัตรหรือเปิดบัญชี 4. กลุ่มถอนเงิน
ล่าสุดสามารถติดตามกลุ่ม 3 ได้แล้ว แม้จะอ้างว่า ไม่รู้ไม่เห็นก็จะต้องถูกดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ฉะนั้นฝากเตือนไปยังประชาชนทั่วไปว่า หากใครรับจ้างเปิดบัญชี จะต้องไม่เปิดบัญชี และจะต้องแจ้งตำรวจให้ทราบด้วย ส่วนกลุ่ม 4 กำลังตามจับตามภาพที่ไปถอนเงินตามตู้เอทีเอ็ม คาดว่า ไม่ใช่คนไทย
พล.ต.ท.ทวิชชาติ พละศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ย้ำอีกว่า จริงๆ ตำรวจภาค 6 ต้องจับกลุ่ม 1 หัวหน้าขบวนการ ซึ่งต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศไปตามจับประเทศนั้นๆ สำหรับกรณีผู้เสียหาย อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัยโลกถูกหลอกโอนเงินไปกว่า 100,000 บาท ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถโทรศัพท์ไปหาเหยื่อ โดยที่โทรศัพท์ปลายสายของผู้เสียหาย โชว์เบอร์เป็น ตำรวจภูธรภาค 6 หรือ ตำรวจภูธรภาคใดก็ได้ หรือ ปปส.ที่ไหนก็ได้ เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรข้ามชาติ มีโปรแกรมหรือล็อกให้มือถือโชว์เบอร์สายเรียกเข้าเป็นหมายเลขใดหรือสำนักงานใดก็ได้
ด้านผู้กำกับสืบสวนภาค 6 เปิดเผยว่า สารพัดวิธีที่แอบอ้างจนผู้เสียหายหลงเชื่อ อาทิ อ้างเป็นจนท.ไปรษณีย์ หลอกกับเหยื่อว่า มีผู้จ่าหน้าซองถึงคุณพร้อมกับมีเงินในซองอยู่สองแสนบาท ตอนนี้จนท.ปปส. จะยึดเงินของคุณ เนื่องจากเกี่ยวพันกับยาเสพติด คุณมีเงินอยู่ในบัญชีหรือไม่ เพราะอีกสักพักจะมีจนท.ตำรวจภูธรภาค 6 โทรไปหา จากนั้นไม่กี่นาที ก็มีมิจฉาชีพอ้างเป็นตำรวจภาค 6 ทันทีโทรไปหา อ้างเรื่องสารพัด เพื่อให้ถอนเงินจากบัญชี แล้วให้โอนเข้าบัญชีกลางของตำรวจภูธรภาค6 จนทำให้เหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินเข้าไปทีละแสน จากนั้นก็บอกว่า จะติดต่อกลับ แต่สุดท้าย มิจฉาชีพไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็มครั้งละหมื่นตามจังหวัดต่างๆ
โดยพบว่า มีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 6 ราย รวมมูลค่าเสียหายแล้ว 1.2 ล้านบาท หากใครพบเบาะแสหรือถูกหลอกให้โอนเงินไปแล้ว ให้แจ้งที่ตำรวจภูธรภาค 6 ทันที ร่วมทั้งหากรู้เห็นว่า ใครเป็นผู้รับจ้างเปิดบัญชี เพราะนั่นคือ หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการแก็งคอลเซ็นเตอร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีหัวหน้าส่วนราชการรายหนึ่งจังหวัดพิษณุโลกเกือบถูกแก๊งมิฉาชีพคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงระบุว่า เมื่อเร็วๆนี้ มีคนโทรมา 2-3 ครั้ง อ้างว่า เป็นตำรวจปปส. บอกว่า ตนมีบัญชีเกี่ยวพันกับยาเสพติด ต้องเช็คบัญชี จะต้องตนเดินทางไปตู้เอทีเอ็ม และให้เอาสมุดไปปรับ ระหว่างนั้น เกือบหลงเชื่อ เตรียมออกเดินทางไปยังตู้เอทีเอ็มแล้ว แต่บังเอิญไปปรึกษานายตำรวจที่รู้จักบอกว่า ตำรวจจริงต้องทำหนังสือ ไม่ใช่โทรคุย จึงไม่ตกเป็นเหยื่อ
ระหว่างสนทนากับมิฉาชีพนั้น เขาอ้างเป็นจนท.ตำรวจ พูดจา หนักแน่นเหมือนจริง สุดท้าย ตนก็ถามว่า เป็นตำรวจจริงหรือเปล่า มิฉาชีพก็พูดจาตอบโต้กลับอย่างมีหลักการอีกว่า คุณคือ ผู้เสียหายนะครับ ผมกำลังจะช่วยคุณนะ แถมบอกอีกว่า แบตเตอรี่มือถือใกล้หมดรึยัง ต้องชาร์ทไว้ เผื่อไว้คุยธุรกรรมการเงินสำคัญ
หลังจากวางสาย เหตุไม่เชื่อ มั่นใจว่าถูกหลอก มิฉาชีพคนดังกล่าว ยังโทรมาหลายครั้ง แต่พอโทรกลับไปปลายสายที่โชว์จากโทรศัพท์มือถือตน ก็คือ สำนักงานปปส.ที่กรุงเทพฯ จริงๆ นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังให้เบอร์โทรมือถือส่วนตัว ตนจึงให้บุคคลอื่น ลองโทรศัพท์ไปยังปลายที่ให้ไว้ แต่มิจฉาชีพกลับไม่ยอมรับโทรศัพท์ พร้อมตัดสายทิ้งทันที แสดงว่า มิจฉาชีพต้องการหลอกเหยื่อเฉพาะรายเพียงคนเดียวเท่านั้น …………………………………………………………………………