กลางดึกคืนวันที่ 17 ก.พ. 2560 ร.ต.อ.สมาน พรมประดิษฐ์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บริเวณหน้าป้อมเวรยามทหารประตูทางเข้าค่ายสฤษดิ์เสนา กรมรบพิเศษที่ 4 ริมถนนเส้นพิษณุโลก – หล่มสัก หมู่ 2 ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบตามลำดับชั้น แล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลวังทอง ตำรวจวิทยาการศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 กำลังตำรวจชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยบูรพา ที่เกิดเหตุพบรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีขาว ทะเบียน กท 8872 นครสวรรค์ จอดคาอยู่ที่ประตูทางเข้าค่ายทหาร ตรวจสอบที่เบาะนั่งฝั่งคนขับพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย ตามเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเลือด เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงช่วยกันนำร่างออกมาชันสูตรพลิกศพนอกรถ ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.กนก สุวรรณนิตย์ อายุ 35 ปี พนักงานหน่วยงานองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ อยู่บ้านเลขที่ 620/7 หมู่ 7 ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ สภาพศพสวมเสื้อคลุมสีเหลือง นุ่งกางเกงขายาวสีน้ำตาล มีบาดแผลถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณมือขวา หน้าอก หน้าท้อง สีข้างซ้าย-ขวา หน้าขาซ้าย-ขวา รวม 11 แห่ง นอกจากนี้ตรวจสอบที่เกิดเหตุยังพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ข้างรถเก๋งจำนวน 5 ปลอก และร่องรอยกระสุนปืนยิงเข้าที่ข้างรถฝั่งขวา 1 รู จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ คือ ด.ต.วุฒิกร มหา อายุ 49 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจประจำ สภ.แก่งโสภา อยู่บ้านเลขที่ 152/29 ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก หลังก่อเหตุได้จอดรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค สีบรอนซ์ – เงิน ทะเบียน กฉ 7120 พิษณุโลก ทิ้งไว้ริมถนนใกล้กับที่เกิดเหตุ แล้ววิ่งหนีหายไปกับความมืด เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันระดมออกค้นหาแต่ไม่พบตัวแต่อย่างใด จึงต้องติดต่อประสานผ่านญาติให้เข้ามามอบตัวโดยเร็วที่สุด และหวั่นว่าผู้ต้องหาจะเกิดความเครียดจนคิดสั้นฆ่าตัวตาย
จากการสอบสวน น.ส.ปัณฑ์รพี ประวิทย์ชาติ อายุ 49 ปี ให้การว่า ตนเองและ ด.ต.วุฒิกร มหา ซึ่งเป็นเพื่อนกันได้ชักชวนนั่งรถไปดื่มกินที่ร้านอาหารแรงเยอร์ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก กระทั่งไปถึงร้านก็พบว่า น.ส.กนก สุวรรณนิตย์ นั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงร่วมนั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกัน เพราะ ด.ต.วุฒิกร ก็รู้จัก น.ส.กนก เช่นกันแต่ตนก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากแค่ไหน เมื่อทานอิ่มจึงขอแยกย้ายกลับบ้าน โดย ด.ต.วุฒิกร บอกว่าจะเดินทางไป จ.นครสวรรค์ ตนจึงขอกลับบ้านกับ น.ส.กนก ซึ่งทางกลับบ้านทางเดียวกัน แต่ระหว่างเดินทางกลับ พบว่า ด.ต.วุฒิกร ได้ขับรถเก๋งตามมาด้วยความเร็วและขับจี้ด้านท้าย จากนั้นได้ขับรถมาปาดหน้า ด้วยความกลัวจะเกิดเรื่องร้าย น.ส.กนก จึงแวะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากทหารที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าค่ายค่ายสฤษดิ์เสนา ขณะที่ ด.ต.วุฒิกร ขับรถตามมาทันจึงจอดรถไว้ริมถนนและเดินตามมาที่รถพูดจาข่มขู่ว่า “มึงไม่เคลียร์กับกูใช่ไหม” มีอะไรให้ไปคุยกันที่บ้าน แต่ น.ส.กนก ก็ไม่ยอมพูดคุยด้วยและไม่ยอมลงจากรถ จากนั้น ด.ต.วุฒิกร ก็เดินกลับไปเอาปืนในรถมาจ่อยิงใส่ น.ส.กนก หลายนัดจนแน่นิ่งไป ด้วยความตกใจตนจึงวิ่งหนีเข้าไปในค่ายทหาร ท่ามกลางทหารที่เห็นเหตุการณ์อยู่หลายคนพยายามเข้าช่วยเหลือ ก่อนที่ ด.ต.วุฒิกร จะวิ่งหนีหายไปกับความมืดและจอดรถทิ้งเอาไว
ขณะที่ ส.ต.นพเก้า พระทัย เจ้าหน้าที่พลขับ ที่เข้าเวรอยู่หน้าป้อมยาม ค่ายสฤษดิ์เสนาอุปถัมป์ ให้การเพิ่มเติมว่า ขณะเกิดเหตุตนยืนเข้าเวรอยู่หน้าค่ายทหารร่วมกันกับเพื่อนอีก 1 คน โดยมี น.ส.กนก ขับรถเข้ามาขอความช่วยเหลือ ซึ่งตนได้สอบถามว่าจะเข้าไปติดต่อธุระอะไรข้างในค่ายหรือเปล่าตามกฎระเบียบ ทันใดนั้น ด.ต.วุฒิกร ก็ตามมาพูดจาข่มขู่เสียงดังใส่ผู้หญิง ตนก็พยายามไกล่เกลี่ยให้ใจเย็นลง แต่กลับเดินไปเอาปืนมาจ่อยิงใส่ต่อหน้าต่อหน้าถึง 4 นัด ตนจึงปัดป้องยื้อแย่งปืนกันจนเกิดลั่นอีก 1 นัด ก่อนจะรีบวิ่งไปตามทหารอีกจำนวนหนึ่งให้รีบมาช่วยเหลือนำตัว น.ส.กนก ส่งยังโรงพยาบาล แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุเพื่อใช้ประกอบสำนวนคดี และตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าค่ายทหารที่จะใช้มัดตัวผู้กระทำผิด ส่วนประเด็นการสังหารครั้งนี้คาดว่าน่าจะมาจากปัญหาส่วนตัวเรื่องใดเรื่องหนึ่งและเรื่องชู้สาว ซึ่งจะส่งศพของผู้เสียชีวิตไปไว้ที่แผนกนิติเวชโรงพยาบาลพุทธชินราช และจะติดต่อให้ญาติมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนาต่อไป.
………………………………………………………