ที่วัดใหญ่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมืองพิษณุโลก เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว รวมถึงจุดหมายปลายทางของผู้สัญจรไปมาสู่ภาคเหนือและภาคอีสานจะแวะมากราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราชจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลวันหยุดต่าง ๆ และวันเสาร์-อาทิตย์ และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการขายของที่ระลึก ของฝาก ของกินของ จ.พิษณุโลก ขายดีอย่างมาก โดยเฉพาะกล้วยตาก แต่มีอยู่โซนหนึ่ง บริเวณจุดท่องเที่ยวภายในวัด บริเวณถนนเส้นเล็ก ๆ หน้าพระอัฏฐารถ มีพ่อค้าแม่ค้าหลายเจ้า ปิ้งข้าวเกรียบงา ข้าวเกรียบว่าวขายอย่างใจเย็น เพราะต้องใช้ไฟอ่อน ๆ และต้องคอยพลิกกลับข้าวเกรียบด้วยความชำนาญ มิให้ไหม้เกรียมเกินไป เป็นขนม ของฝากของไทยโบราณ ที่เด็กยุคใหม่สมัยนี้แทบจะไม่ค่อยได้ลิ้มรส ลิ้มลอง
นายปทุม ฤทธิ์ทอง อายุ 75 ปี แม่ค้าขายข้าวเกรียบงาเจ้าหนึ่งในหลาย ๆ เจ้า ตั้งเตาไฟด้วยถ่าน ใช้เวลาภาคเช้าถึงสาย ค่อย ๆ ปิ้งข้าวเกรียบงา และบรรจุถุงรอขายให้ลูกค้าถุงละ 20 บาท ( จำนวน 7 ชิ้น )
เทคนิคการปิ้งข้าวเกรียบงาของยายปทุม นั้น จะต้องควบคุมไฟให้ได้อ่อน ๆ โดยใช้ขี้เถ้าคอยกลบถ่านอยู่เสมอ เมื่อเวลาไฟจากถ่านจะกำลังเริ่มแรง เพื่อไม่ให้ข้าวเกรียบงาไหม้เกินไป และต้องคอยพลิกข้าวเกรียบงาอยู่ตลอดเวลาอย่างใจเย็น หน้าเตาถ่านร้อน ๆ คอยดูให้ข้าวเกรียบเหลืองอมน้ำตาล ก็จะนำข้าวเกรียบงามาใส่ในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ เพื่อให้ข้าวเกรีบงา โค้งตามทรงของกระบอกไม้ไผ่ รอให้เย็นลง จึงหยิบใส่ถุงจำหน่ายได้
คุณยายปทุมเล่าว่า เมื่อก่อนเคยขายเมี่ยงคำ แต่เมี่ยงคำใช้เวลาเยอะ ต้องเคี่ยวน้ำตาล เมื่อแก่แล้วทำไม่ค่อยไหว ลูกหลานก็ไม่อยากให้ทำ จึงมานั่งปิ้งข้าวเกรียบงาขาย โดยแผ่นข้าวเกรียบงานั้น มีผู้ผลิตอยู่ที่ตำบลบึงพระ อ.เมืองพิษณุโลก จะผลิตมาส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่วัดใหญ่ ช่วงเสาร์-อาทิตย์ ก็จะปิ้งแทบไม่ทัน ส่วนใหญ่คนที่นิยมซื้อคือกลุ่มคนวัยกลางคน ไม่ค่อยมีกลุ่มวัยรุ่นมาซื้อ เพราะเป็นขนมโบราณ เด็กยุคใหม่ไม่คุ้นเคย
…………………………………………………………………………………..