เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 1 ส.ค. 59 พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร 22 )(ปป 12) ได้เดินทางมามอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 6 หลังมีการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ณ ห้องประชุม ศปก. ชั้น 3 ตำรวจภูธรภาค 6 อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก โดยมี พล.ต.ท.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผบช.ภ.6 รอง ผบช.ภ. 6 ผู้บังการตำรวจสังกัด และหัวหน้าสถานีตำรวจ ที่มีความห่างไกลไม่เกิน 50 กิโลเมตร เข้ารับฟังนโยบายอย่างพร้อมเพรียงทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน ได้เกิดปัญหาขัดแย้งทางการเมือง เกิดการแทรกแซงการบริหารจากภายนอกองค์กรตำรวจ มีปัญหาด้านความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย และการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาและการบริการประชาชน ประกอบกับภายใต้แรงกดดัน จากข้อเรียกร้องของประชาชน สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดกรอบการพิจารณาแนวทางการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นมา ซึ่งจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงตำรวจอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมายที่มีความ ยุติธรรม ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา และมีมาตรฐานสากล ซึ่งในระยะแรก จะเน้นการแก้ปัญหากาบริหารงานบุคคล เสริมสร้างความมั่นคง เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของตำรวจ ส่วนระยะกลาง เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ การป้องกันอาชญากรรม และความมั่นคงแบบใหม่ เพิ่มคุณภาพการบังคับใช้กฎหมาย และให้ตำรวจเป็นหุ้นส่วนในการทำงานร่วมกับประชาชนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม และระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น ศรัทธาตำรวจ และเคารพกฎหมาย สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็งและยั่งยืน พร้อมรับมือสังคมผู้สูงวัย ซึ่งเป็นหนึ่งใน ASEANพล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกะลาโหม ได้ให้นโยบายปฏิรูปงานของตำรวจโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานโรงพักใกล้ชิดกับประชาชน และนโยบายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ออกมาเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาตำรวจแห่งชาติ การปฏิรูปงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีการขับเคลื่อนการปฏิบัติในภาพรวมทั่วทั้งประเทศ เพื่อดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ ในส่วนของภาค 6 พล.ต.ท.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผบช.ภ.6 ผบช.ภ. 6 มีความตื่นตัวสูงมากประกาศจะทำทั้งภาคเลย ในเบื้องต้นนั้นได้กำหนดในภาพรวมเอาไว้ 514 สถานี ส่วนตำรวจภาค 6 จะมี 38 สถานี แต่ทาง ผบช.ภ.6 จะขอทำหมดเลย ซึ่งถือว่ามีความพร้อม ในส่วนที่จะให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ภาคเหนือตอนล่างนั้น ได้รับบริการที่จากพนักงานสอบสวนผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า งานสอบสวนแต่เดิม พนักงานสอบสวนเข้าเวรเพียงคนเดียว จะเกิดผลไม่ดี เช่น ผู้เสียหายที่มาแจ้งความต้องนั่งรอคิว เพราะมีคนอื่นแจ้งความอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ และประการต่อไปพนักวานสอบสวนทำงานเพียงคนเดียว เมื่อมีปริมาณงานล้นมือก็จะทำให้ ประสิทธิภาพสำนวนการสอบสวน ด้อยลง เป็นเหตุศาลยกฟ้อง อัยการสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม และในการทำสำนวนเพียงคนเดียวไม่มีใครช่วยคิดช่วยทำ ไม่มีใครค่อยอุดช่องโหว่ของกฎหมาย หรือหาพยานหลักฐานมาอย่างสมบูรณ์ และในอดีตที่ผ่านมานั้นการทำงานของทีมสืบสวนกับสอบสวนไม่ได้ประสานงานกันเท่าที่ควร เพราะต่างคนต่างทำต่างคนต่างมีผู้บังคับบัญชาคนละสายงาน ณ วันนี้พนักงานสอบสวน ทีมงานสืบสวน มาเป็นทีมหนึ่งเดียวกัน ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่รับแจ้งเหตุ รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติจับกุมออกหมายจับ และไปติดตามจับกุมคนร้าย จะทำให้ประสิทธิการจับกุมคนร้ายสูงขึ้น
จากการสอบถามว่า หลังการปฏิรูปตำรวจมีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่มีการแทรกแซงทางการเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ในการปฏิรูประบบงานงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ เป็นการปฏิรูปบูรณาการการร่วมมือของทีมตำรวจด้วยกัน และเป็นการทำกระบวนการยุติธรรม ในขั้นตอนเบื้องต้นมีความโปร่งใส และที่สำคัญที่สุด จากนี้ไปเราจะมีการให้ข้อมูลย้อนกลับหรือรายงานผลการปฏิบัติให้พี่น้องประชาชนที่เป็นผู้เสียหายได้ทราบทุกระยะ และพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิที่จะมาตรวจสอบติดตาม ความคืบหน้าในการดำเนินคดีได้ทุกระยะ ผมมั่นใจจากนี้เป็นต้นไป ความพึ่งพอใจของพี่น้องประชาชนที่มีต่อการบริการของตำรวจในการรับแจ้งความจะดีขึ้น ในส่วนการพิจารณาความดีความชอบจะไม่มีความลักหลั่นกันอีกต่อไป ระหว่างงานสืบสวนและงานสอบสวน ในอดีตที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาอาจจะให้ความดีความชอบกับงานสืบสวนมากกว่างานสอบสวน แต่วันนี้ถือว่าได้เท่าเทียมกันบนงานที่เหมือนกัน ทำงานเป็นทีมมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดต่อไปนี้พนักงานสอบสวนที่ทำงานมาก มีสำนวนการสอบสวนที่ทำสำเร็จจำนวนมาก และคุณภาพการสอบสวนสำนวนดีก็มีโอกาสได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ดีกว่าคนที่มีผลงานน้อยและไม่มีผลงาน