เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 31 พ.ค.2559 ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ พร้อมด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ชั้นปีที่ 3 สาขารัฐศาสตร์ จำนวน 5 คน ประกอบด้วยนายชัยธวัช ธำรงศักดิ์คุณ นายศิริวัฒน์ คุ้มทัศ นายธนพล คงอิว นายธราเทพ แสงพิรุณ และน.ส.กมลชนก กล่ำเทพ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พิเชษฐ์ ปันกาวี รอง ผกก. (สอบสวน) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ดูแลคดีที่กลุ่มนักศึกษาทั้ง 5 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย คือ ส.ต.อ.สุบิณ นุชขำ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จ.พิษณุโลก ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จ.พิษณุโลก และ ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จ.พิษณุโลก ขับรถไล่ยิงแล้วลงไปทำร้ายร่างกายนักศึกษาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดตั้งแต่ค่ำคืนวันที่ 18 มี.ค. 2559 ที่ผ่านมา ขณะเกิดเหตุมีกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ จนนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการตำรวจหลายฝ่ายสอบสวน แล้วมีหนังสือคำสั่งจาก ผบช.ภ. 6 ให้ออกจากราชการไว้ก่อนทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีหลายข้อหาหนัก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 ราย ที่ถูกกล่าวหาก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่ออธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ยืนยันเป็นการปฏิบัติหน้าที่
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุได้เข้ามาช่วยเหลือด้านคดีความกับกลุ่มนักศึกษา เพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้องตำรวจ 3 นาย ทั้งหมด 7 ข้อหา 1.ข้อหาทำร้ายร่างกาย 2. ข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส 3.ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ 4.กักขังหน่วงเหนี่ยว 5.ความผิดต่อเสรีภาพ ข่มขืนจิตใจผู้อื่น 6.ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น 7.เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับรับแจ้งความเพียง 6 ข้อหาเท่านั้น ไม่รับแจ้งความในข้อหาที่ 7 โดยมีหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวน ที่ ตช.0021.74 (พล) ถึงผู้เสียหายทั้ง 5 มีความเห็นว่ากรณีการกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เป็นเหตุส่วนตัวมิใช่การปฏิบัติหน้าที่ พนักงานสอบสวนจึงยังไม่ได้ส่งสำนวนสอบสวนไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในภาครัฐ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน วันนี้จึงเดินทางมากับนักศึกษาเพื่อให้พิจารณาและทบทวนมติอีกครั้ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุผู้ต้องหาทั้ง 3 ก็ได้แถลงข่าวยืนยันแล้วว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่
โดยหลังจากเข้าพบหัวหน้าพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีแล้ว ในเรื่องข้อกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ทางตำรวจกำลังเข้าสู่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีหรือไม่ ส่วนที่คดีล่าช้านั้นเนื่องจากต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบ ทั้งในเรื่องของภาพจากกล้องวงจรปิดจากรถยนต์ ที่ส่งเข้าไปตรวจสอบที่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่ส่งกลับมา ส่วนสำนวนคดีเวลานี้รวบรวมไว้เสร็จแล้ว 99 % หากได้ผลพิสูจน์จากการกล้องวงจรปิดมาก็จะสามารถส่งให้ทางพนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกฟ้องต่อศาลได้ภายในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนในกรณีจากการที่ทนายความได้นำเรื่องส่งฟ้องต่อศาลเองนั้นทางศาลได้รับเรื่องไว้แล้ว และทางศาลได้นัดไกล่เกลี่ยสมานฉันท์ในวันที่ 7 ก.ค. นี้ ซึ่งทางทนายความและนักศึกษาได้ยืนยันว่าจะไม่รับการไกล่เกลี่ย แต่จะดำเนินคดีในชั้นศาลให้ถึงที่สุด.