เวลา 15.45 น. วันที่ 10 เม.ย. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีหญิงสาวผู้เสียหายหลายรายได้รวมตัวกันเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.อนุวัฒน์ วัฒนกรการุณย์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก กรณีหลงเชื่อซื้อคอร์สเสริมความงามของคลินิกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ ถ.พิชัยสงคราม ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก ซึ่งก่อนหน้านี้คลินิกเสริมความงามดังกล่าวยังไม่ได้เปิดร้านอย่างเป็นทางการ จึงออกมาตั้งบูธในห้างสรรพสินค้าแล้วเชิญชวนให้หญิงสาวที่สนใจอยากสวยอยากงาม ร่วมสมัครเป็นสมาชิกแบบทั่วไปและสมาชิกแบบวีไอพี เพื่อซื้อโปรโมชั่นเสริมความงามต่างๆ มากมาย อาทิ คอร์สทำหน้า นวดหน้า ยกกระชับผิว คอร์สลายไขมัน กระชับสัดส่วน ซึ่งหากหญิงสาวสนใจสมัครเป็นสมาชิกแบบวีไอพียังได้กิ๊ฟวอชเชอร์เสริมความงามในวงเงิน 50,000 บาท ทำให้ลูกค้าหลงเชื่อและซื้อแพ็คเกจเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงกำหนดเปิดคลินิกเสริมความงามตามที่นัดกับลูกค้าได้เพียง 1 วัน ก็มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการจริง แต่ถัดมาอีกวันลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิกจะเดินทางเข้าไปใช้บริการอีก ก็พบว่าคลินิกเสริมความงามแห่งนั้นได้ปิดหน้าร้านไปเสียแล้ว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่พยายามโทรศัพท์ติดต่อสอบถามไปยังเจ้าของคลินิก ก็ไม่สามารถติดต่อได้แต่อย่างใด และมั่นใจว่าน่าจะถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวง มีหญิงสาวตกเป็นผู้เสียหายนับ 1,000 ราย สูญเงินรวมกันนับ 1 ล้านบาท จึงพากันเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
น.ส.ณปภัช ศรีสุข อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 444/192 หมู่ 7 ต.สมอแข อ.เมืองพิษณุโลก ผู้เสียหาย กล่าวว่า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตนและครอบครัวเดินทางไปใช้บริการในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี และพบว่ามีพนักงานของคลินิกเสริมความงามมาเปิดบูธหาลูกค้า พร้อมทั้งพูดจาโน้นน้าวใจให้หญิงสาวสมัครเป็นสมาชิกและซื้อแพ็คเกจเสริมความงามในราคาต่างๆ แต่คลินิกเสริมความงามจะเปิดร้านจริงในวันที่ 15 มี.ค. ตนหลงเชื่อจึงสมัครเป็นสมาชิกพร้อมเลือกซื้อแพ็คเกจในราคา 3,500 บาท เมื่อกลับมาถึงบ้านก็มีโทรศัพท์จากทางร้านโทรมาสอบถามอีกว่า ถ้าซื้อแพ็คเกจเพิ่มอีก 3,500 บาท จะได้เป็นลูกค้าวีไอพีสามารถเลือกทำความงามต่างๆ ได้ถึง 50 โปรแกรม ในวงเงิน 50,000 บาทฟรี แต่ต้องมาสมัครที่บูธภายในห้างเท่านั้น ตนจึงเดินทางกลับไปสมัครด้วยตนเอง และรอวันไปใช้บริการเสริมความงามวันที่คลินิกเปิดในวันที่ 15 มี.ค. แต่ก็ไม่ประทับใจเพราะเหมือนพนักงานไม่ชำนาญ และคลินิกดังกล่าวมีอุปกรณ์ไม่พร้อม ซึ่งก็ต้องทำใจเพราะจ่ายเงินไปแล้ว พออีกวันจะเข้าไปใช้บริการใหม่กลับพบว่าคลินิกเสริมความงามปิด ตนพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปยังเจ้าของร้านหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าน่าจะถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงแล้ว จึงรวมตัวกับหญิงสาวผู้เสียหายที่สมัครเป็นสมาชิกหลายราย เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ตรวจสอบและดำเนินคดี เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน โดยยังไม่ได้ตั้งข้อหาใดๆ กับทางคลินิกเสริมความงามที่ถูกกล่าวถึง เพราะจากการตรวจสอบพบว่าคลินิกเสริมความงามยังมีป้ายร้านตั้งอยู่ที่เดิม ซึ่งจะต้องเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบถามก่อน และพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หรือหากประชาชนท่านใดที่คิดว่าเข้าข่ายถูกหลอกลวงก็สามารถเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป.