เวลา 13.30 น. วันที่ 30 มีนาคม 2559 ที่โรงแรมพิษณุโลกออคิดส์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 3 ตำรวจ ผู้ต้องหาคดีรุมทำร้ายร่างกาย 5 นักศึกษาม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ประกอบด้วย ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว พิษณุโลก ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก และ ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก พร้อมด้วย นายชาญชัย ฉิมพานัง ทนายความ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีรุมทำร้ายร่างกายนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และถูกสั่งให้ออกจากราชการ
ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว พิษณุโลก ได้นำหลักฐานเป็นคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด ในเส้นทางที่รถทั้ง 3 คันได้ขับผ่าน พร้อมกับภาพกราฟฟิค การจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 18 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา โดย ส.ต.อ.สุบินฯ ได้กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ในวันนี้ตนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ในการสืบหาข่าวยาเสพติด และกำลังกลับสำนักงาน ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่มีการเฉี่ยวชนบริเวณจุดที่ 1 คือใต้สะพานสูง ซึ่งยืนยันว่า รถของนักศึกษา เป็นฝ่ายที่หักปาดหน้ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน และหลังจากนั้นรถนักศึกษาได้เหยียบเครื่องขับออกไปอย่างรวดเร็ว บนถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าขึ้นสะพานนเรศวร ซึ่งทางฝั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็พยายามขับรถติดตามเพื่อแจ้งให้จอด โดยเปิดกระจกตะโกนบอกว่าเป็นตำรวจ และบอกให้หยุดเพราะมาเฉี่ยวชนรถของตำรวจ แต่ปรากฏว่ารถนักศึกษากลับไม่ยอมจอด พร้อมขับหนีอย่างรวดเร็วทั่วเมืองพิษณุโลก ข้ามสะพานนเรศวร เลี้ยงซ้ายแยกวัดคูหาสวรรค์ กลับมาข้ามสะพานเอกาทศรถ และผ่านสี่แยกธนาคารกรุงไทย ซึ่งจุดนั้นก็เป็นที่ตั้งของสภ.เมืองพิษณุโลก และขับรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นได้วกกลับมาที่สี่แยกบ้านแขก ถึงสะพานสูงจุดที่ชนครั้งแรกอีกครั้ง รถของตนก็ยังคงขับติดตามไป รถนศ.ยังขับไปเรื่อย ๆ ผ่านสวนชมน่าน และมาผ่านสภ.เมืองพิษณุโลกรอบที่สอง ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา และกลับมาผ่านวงเวียนสถานีรถไฟ มาผ่านถนนเอกาทศรถอีกครั้ง ซึ่งเป็นย่านตลาด
ซึ่งทางตนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดคนคันดังกล่าวถึงไม่ยอมจอดให้ตรวจ แต่กลับขับรถวนในเมืองด้วย ประกอบกับรถคันดังกล่าว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน แต่งซิ่ง ท่อดัง ตนจึงต้องประเมินสถานการณ์ว่ารถคันดังกล่าวอาจไปกระทำความผิด หรือมีสิ่งผิดกฎหมาย จึงได้ตัดสินใจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดรถคันดังกล่าวเนื่องจากเส้นทางที่รถขับหลบหนีนั้นเป็นจุดที่มีคนพลุกพล่าน อาจเกิดการเฉี่ยวชนประชาชนได้ ตนจึงใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณล้อหลังเพื่อให้รถหยุด และขอยืนยันว่าตนยิงตามหลักสูตรสวาทที่อบรมมา คือยิง 3 นัด และ 1 นัดในนั้นได้ถูกยาง ดังนั้นจึงขอแก้ต่างในข้อกล่าวหาที่ว่าตนพยายามฆ่า เพราะหากตนคิดว่าจะฆ่าคน หรือตั้งใจยิงให้ถูกคน ตนคงยิงไปจุดกระจกมากกว่า
ส.ต.อ.สุบินฯ เปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่มีพยาน ที่อ้างว่าเป็นพลเมืองดี เดินทางมาจากต่างจังหวัด ไม่เคยรู้จักกับ 5 นักศึกษามาก่อน และผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงพยายามขับรถติดตาม โดยอ้างว่ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นไปเฉี่ยวชนรถพยานก่อน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะรถของพยานได้ขับติดตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ส่วนการเฉี่ยวชนเป็นการชนแบบถูกปาดหน้าหลังการติดตาม ทางตนอยากให้ตรวจสอบประวัติให้ดีเนื่องจาก จากการตรวจสอบเชิงลึก พบว่าตัวพยานนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกับพี่ชายของ 1 ในนักศึกษาที่เป็นคนขับขี่รถคันดังกล่าว และเรื่องของคลิปจากกล้องหน้ารถของบุคคลที่อ้าวตัวว่าเป็นพยานนั้น ตนอยากให้นำมาตรวจสอบให้ละเอียดเพราะ คลิปบางช่วง บางเหตุการณ์ ถูกลบหายไป 3 ช่วง เหมือนเป็นการปกปิดเรื่องราว หรือความเป็นจริงอะไรบางอย่าง และระหว่างที่ตนขับรถตามรถนศ.ไปนั้น ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเป็นเสียงปืนมาจากไหน
ส่วนในข้อหาที่ตนทำร้ายร่างกาย กลุ่มนักศึกษานั้น ตนขอยอมรับผิดว่าทำจริง แต่ตนทำไปเพราะนศ.เมื่อจอดรถแล้วไม่ยอมลงจากรถ เพราะเกิดความกดดันจากการพยายามติดตามรถของนักศึกษามาตลอดเส้นทาง ซึ่งระหว่างนั้นตนมีหลักฐานว่าได้แจ้งเข้าไปยัง 191 เพื่อขอกำลังเจ้าหน้าที่ออกมาช่วยระงับรถนักศึกษา ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าตนมีการดื่มสุรานั้นไม่เป็นความจริง เพราะในวันเกิดเหตุตนกลับจากสถานีตำรวจเกือบตี 4 และช่วงเช้าร้อยเวรได้เรียกให้มาเป่าแอลกอฮอล์ซึ่งใช้เวลาห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง หากตนเมา หรือดื่มสุราจริง ตามที่นักศึกษาได้กล่าวอ้างว่าได้กลิ่นสุรานั้น ผลการเป่าต้องไม่เป็น 0
ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนต้องกราบขอโทษวงการตำรวจที่ทำให้มีเรื่องเสื่อมเสีย กราบขอโทษผู้บังคับบัญชา ทุกนาย กราบขอโทษนักศึกษา กราบขอโทษครอบครัวผู้เสียหาย ส่วนสาเหตุที่ตนไม่ได้ออกมาชี้แจงอะไรเลยนั้น ตนรวบรวมหลักฐานชี้แจงเพื่อชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนอยากร้องขอความเป็นธรรมจากสังคมให้ฟังพวกตนบ้าง อย่ารุมประณามเพียงอย่างเดียวเรื่องที่ผิดคือเรื่องทำร้ายร่างกาย ตนยอมรับผิดและหลังเกิดเหตุตนได้ติดต่อขอเข้าพบผู้เสียหาย ได้ไปเยี่ยมผู้เสียหายที่โรงพยาบาล และได้กราบขอขมาผู้เสียหายพร้อมครอบครัว ขอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล กับครอบครัวของนักศึกษาแต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด ซึ่งหากทำได้ตนอยากนำดอกไม้กราบขอขมาด้วยซ้ำหากทางครอบครัวนักศึกษายินยอม
ส่วนเรื่องที่ตนถูกตั้งถึง 6 ข้อกล่าวหาร้ายแรงนั้น ตนขอปฏิเสธเรื่องอยู่ในระหว่างให้ทนายรวบรวมหลักฐานสู้คดี ขอยอมรับผิดเพียงข้อหาเดียวคือทำร้ายร่างกายเพียงคดีเดียว และข้อมูลต่างๆ ในเชิงลึก ตนขอไปให้การในชั้นศาล ตนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมยังมีอยู่จริง
//////////