เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2558 นางสมทรง บุญถึง อายุ 63 ปี ทำนา 25 ไร่ พร้อมด้วย นายสำราญ บุญกล้า อายุ 66 ปี ทำนา 16 ไร่ เป็นชาวนาอยู่ในเขต ต.ย่านยาว อ.เมือง จ.พิจิตร ได้เป็นแกนนำพากลุ่มชาวนากว่า 30 คน ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่าในพื้นที่ทำนาประมาณ 6,000 ไร่ ข้าวกำลังใกล้ตั้งท้องออกรวงจึงต้องการน้ำแต่ปรากฏว่าน้ำในคลองชลประทาน C1 ซึ่งเป็นคลองสายหลักที่รับน้ำมาจากเขื่อนสิริกิติ์ไหลผ่าน จ.พิษณุโลก เข้าสู่ จ.พิจิตรปรากฏว่าน้ำในคลองในเขตพิจิตรกลับแห้งขอด จึงได้ออกตามหาต้นเหตุก็พบว่าในคลอง C 1 บริเวณบ้านสนามคลี ต.สนามคลี อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของโครงการชลประทานพลายชุมพลพิษณุโลก มีผู้ทำคันดินขนาดใหญ่กว้าง 3-4 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร สูงประมาณ 2-3 เมตร ขวางคลองชลประทานไม่ให้น้ำจากพิษณุโลกไหลมาให้ชาวนาพิจิตรสร้างความเดือดร้อนและความโกรธแค้นให้ชาวนาพิจิตร จนกลายเป็นศึกแย่งน้ำและยกพวกกันมาจะพังทลายคันกั้นน้ำดังกล่าว จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยระงับศึกแย่งน้ำดังกล่าว
นายบุญช่วย สินสวาท อายุ 60 ปี ทำนา 25 ไร่ อยู่บ้านเลขที่ 112 หมู่ 1 ต.ย่านยาว อ.เมือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่มาดูต้นเหตุของน้ำที่ไม่ไหลไปในเขต จ.พิจิตร กล่าวว่า ตอนนี้ชาวนาพิจิตรในหลายอำเภอต่างเดือดร้อนไปตามๆกัน เพราะน้ำในคลองชลประทาน C1 ไม่ไหลไปตามธรรมชาติ เหตุเพราะมีกลุ่มชาวนาที่น่าจะได้รับการหนุนหลังจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ดูแลน้ำในคลองชลประทาน ทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยให้กลุ่มชาวนาบางคนของ จ.พิษณุโลก ใช้รถแบ็กโฮมาทำเป็นคันดินขวางทางน้ำในคลองชลประทาน ซึ่งถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบและละเมิดสิทธิของชาวนาที่อยู่ด้านตอนใต้ของคลอง พวกของ นายบุญช่วย จึงได้รวมตัวกันร้องทุกข์และอยากให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำตัวให้เป็นกลางแบ่งปันน้ำให้กับชาวนาที่อยู่ในเขตชลประทานให้เป็นธรรมและทั่วถึง มิใช่เอาเปรียบกันอย่างที่เห็นอยู่นี้ เพราะถ้าทำอย่างนี้ได้คนหนึ่งคนอื่นก็จะทำบ้าง สุดท้ายบ้านเมืองก็ไร้ระเบียบวินัยและจะกลายเป็นที่มาของการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งน้ำทำนาในช่วงวิกฤติภัยแล้งเช่นนี้ดังกล่าว
ขอบคุณภาพข่าวโดยคุณสิทธิพจน์ เกบุ้ย ผู้สื่อข่าวภูมิภาคพิจิตร