การเสียชีวิตของร.ต.ท.ก้องหล้า แสงฤทธิ์ รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสภ.วังทอง หัวหน้าหน่วยบริการประชาชนตำบลดินทองอ.วังทอง จ.พิษณุโลก นำความเสียใจต่อครอบครัวและเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างมาก นอกจากสูญเสียเสาหลักของครอบครัวแล้ว ยังสูญเสียตำรวจน้ำดีที่เพียรปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์สันติราษฏร์มาทั้งชีวิต
ร.ต.ท.ก้องหล้า แสงฤทธิ์ อายุ 59 ปี ชื่อเดิมวิเชียร แสงฤทธิ์ พื้นเพเป็นชาวอ.วังทอง จ.พิษณุโลก โดยกำเนิด เป็นบุตรคนโตของพี่น้องทั้งหมด 7 คน หลังจากจบจากโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมได้เข้าศึกษาต่อเป็นนักเรียนพลตำรวจ จากโรงเรียนตำรวจภูธรภาค 7 จังหวัดนครปฐม รุ่น 23/18
หลังจากนั้นได้รับราชการที่จ.ศรีษะเกษ ยุคสมัยที่มีปฏิบัติการต่อสู้กับขบวนการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และได้รับบาดเจ็บจากการปะทะในครั้งนั้น ที่สมัยนั้น ผู้เป็นพ่อคือ นายช่อแสงฤทธิ์ ถึงกับขับรถยนต์จากพิษณุโลกเพื่อเตรียมไปรับศพลูกชาย เนื่องจากได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่าลูกชายเสียชีวิต แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงเพียงแค่บาดเจ็บเท่านั้น และเริ่มเป็นจุดพลิกผลันที่ร.ต.ท.ก้องหล้า ได้ย้ายการปฏิบัติหน้าที่กลับมาที่จ.พิษณุโลก โดยย้ายไปปฏิบัติหน้าที่หลายที่ทั้งอ.นครไทย อ.บางระกำ และอ.ทับทัน จ.อุทัยธานี กระทั่งล่าสุดช่วง 10 ปีก่อน ได้ย้ายภูมิลำเนากลับมาที่บ้านเกิด และมาเสียขาข้างขวา จากการออกปฏิบัติหน้าที่ติดตามขบวนการลักลอบตัดไม้ที่ต.ดอนทอง ปืนลั่นใส่ขาขวา ไม่สามารถรักษาได้ จึงตัดขาขวาท่อนล่างออกและใส่ขาเทียม รับราชการตำรวจมาเรื่อยกระทั่งได้เลื่อนเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร รับตำแหน่งรองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสภ.วังทอง หัวหน้าหน่วยบริการประชาชนตำบลดินทองอ.วังทอง จ.พิษณุโลก
ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยบริการประชาชนดินทอง หรือ จุดตรวจดินทอง ร.ต.ท.ก้องหล้า ได้ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจตลอดเวลา แม้จะยามพักผ่อน ที่บ้านพักเลขที่ 62 ม.6 ต.ดินทอง จะมีโต๊ะทำงานประจำอยู่หน้าบ้านพัก คอยเปิดวิทยุเตรียมฟังเหตุต่าง ๆ ยามที่ออกเวร จะดึกดื่นค่ำคืนไม่ว่าจะมีเหตุใด ร.ต.ท.ก้องหล้าก็จะออกปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยขาด ไม่เคยเกี่ยงว่าจะออกเวรแล้ว ด้วยพาหนะคู่ใจคันเก่ง คือรถยนต์เก๋งมาสด้า 626 GLX ที่ติดสัญญาญไซเรนและวิทยุเตรียมพร้อมตลอดเวลา
ช่วงค่ำวันที่ 11 ตุลาคม 2558 ทันทีที่ได้รับแจ้งมีเหตุบุคคลคุ้มคลั่งอาละวาดจากสภ.วังทอง ร.ต.ท.ก้องหล้า หัวหน้าสายตรวจตำบลดินทอง ได้ละจากวงข้าว ที่กำลังรับประทานอาหารเย็นกับภรรยาและบุตรสาว นำรถยนต์มาสด้าคู่ใจไปยังจุดเกิดเหตุซอยตรงข้ามโรงเรียนบ้านกกไม้แดงทันที ที่ห่างจากบ้านพักไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเหตุปกติที่บุคคลผู้สติไม่สมประกอบรายนี้จะคุ้มคลั่งจากอาการสติไม่สมประกอบเป็นประจำ และทุกครั้งก็ไม่มีปัญหา สามารถจัดการคุมสถานการณ์ได้ แต่ครั้งนี้ กลับเป็นภารกิจสุดท้ายในการปฏิบัติหน้าที่ ร.ต.ท.ก้องหล้า
นายธีรยุทธ รอดเลิศ วัย 46 ปี ชายสติไม่ดีและมีอาการคุ้มคลั่งเนื่องจากดื่มสุราเข้าไปด้วย ได้วิ่งหลบหนีออกมาจากซอยตรงข้ามโรงเรียนบ้านกกไม้แดง เมื่อว่าวิ่งมาถึงรถของร.ต.ท.ก้องกล้า ได้ใช้มีดฟันทะลุกระจกคนนั่ง และฟันเข้าไปที่ร่างหลายครั้ง และยังเปิดประตูนำร่างมาฟันซ้ำที่ร่างกายหลายจุด ก่อนจะหลบหนีไป พลเมืองดีช่วยนำส่งโรงพยาบาล แต่ก็เกินยื้อชีวิตไว้ได้
ล่าสุดเช้าวันนี้ 06.00 น. 12 ตุลาคม 2558 พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนายธีรยุทธ รอดเลิศ ได้แล้ว หลังจากนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50 นาย เข้าปิดล้อมปูพรมไล่ล่ากลางสายฝนตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ในพื้นที่หมู่ 7 ต.ดินทอง อ.วังทอง จนกระทั่งรุ่งเช้าเจ้าหน้าที่ได้ไล่ล่ากดดันและเกลี้ยกล่อมนายธีรยุทธอย่างหนัก คนร้ายจึงออกจากที่หลบซ่อนตัวในอาคารโรงเรียนบ้านกกไม้แดง และวิ่งหลบหนีเจ้าหน้าที่เข้าไปในป่ามันสำปะหลังใกล้เคียงกัน เจ้าหน้าที่จึงได้วิ่งติดตามตัวไป แต่คนร้ายกลับส่ายปากกระบอกปืนไปมา ก่อนจะใช้อาวุธปืนของ ร.ต.ท.ก้องหล้า ผู้เสียชีวิต ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังเข้าไปจับกุม เจ้าหน้าที่ต้องหาที่กำบังหลบกระสุนกันจ้าละหวั่น แต่ไม่มีตำรวจนายใดได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายเห็นท่าจวนตัวและเกรงกลัวความผิด ตะโกนว่า “กูไม่อยากติดคุก” จึงใช้ปืนจ่อที่ขมับเพื่อยิงตัวตาย แต่โชคดีที่กระสุนขัดลำกล้องเสียก่อน และหันปืนจะยิงเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตัดสินใจยิงใส่น่องขาขวาเพื่อสยบความบ้าคลั่ง จนทำให้นายธีรยุทธได้รับบาดเจ็บและถูกจับกุมตัวเอาได้ในที่สุด ก่อนจะถูกนำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลวังทอง และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลพุทธชินราช อ.เมืองพิษณุโลก ก่อนแจ้งความดำเนินคดี 3 ข้อหาหนัก คือ ฆ่าเจ้าพนักงานขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ พกพาอาวุธมีดไปในที่สาธารณะหรือหมู่บ้าน และลักทรัพย์ฯ
พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก กล่าวอีกว่า ร.ต.ท.ก้องหล้า เป็นผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดีและอย่างเคร่งครัด ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งกำชับให้ติดตามดูแลคดีนี้อย่างดี โดยในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลกจะได้เสนอให้ปูนบำเน็จ 7 ขั้น 5 ชั้นยศ เลื่อนเป็น “พลตำรวจตรี” ส่วนงานศพนั้นทางตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลกจะดูแลอำนวยความสะดวกตลอดจนงานศพเสร็จสิ้นลง อย่างไรก็ตามได้กำชับขอเตือนข้าราชการตำรวจในระหว่างการปฏิบัติงาน ขอให้ดูแลความปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต
น.ส.เขมมิกา แสงฤทธิ์ บุตรสาว เปิดเผยว่าด้วยน้ำตานองหน้าว่า ยังทำใจไม่ได้กับการด่วนจากไปของ ร.ต.ท.ก้องหล้า เพราะพ่อคงเจ็บปวดมากตอนโดนคนร้ายกระหน่ำฟัน ตนบอกกับพ่อเสมอว่าเห็นพ่อทำงานหนักมาตลอด อยากให้พ่อลาออกจากราชการมาพักผ่อนอยู่บ้าน ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่พ่อไม่ยอมบอกว่ายังรักในงานที่ทำอยู่ จะขอปฏิบัติหน้าที่อีก 1 ปี ก็จะเกษียณอายุราชการแล้ว ขณะที่คืนเกิดเหตุพ่อออกมาหลังเสียงวิทยุแจ้งเหตุร้ายดังขึ้นว่ามีคนคลุ้งคลั่ง ตนยังเอ่ยปากเตือนพ่อว่าให้ระวังตัว แต่ก็ไม่คิดว่าพ่อต้องมาจบชีวิตลงอย่างทรมานเช่นนี้ หลังเกิดเหตุได้โทรไปแจ้งนายเมษา แสงฤทธิ์ อายุ 21 ปี น้องชายคนเล็ก ที่พึ่งสอบติดเรียนนายสิบตำรวจอยู่ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อทราบข่าวก็รู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะที่สอบติดตำรวจได้ เนื่องจากมีพ่อเป็นต้นแบบในอาชีพตำรวจที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก
ด้าน ร.ต.ท.พีระ ปู่ซึ้ง รอง สวป. สภ.วังทอง เพื่อนร่วมงานของ ร.ต.ท.ก้องหล้า เปิดเผยว่า จากการปฏิบัติงานร่วมกันมากับ ร.ต.ท.ก้องหล้า หรือเพื่อนๆ มักเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่าหมวดเชียร เขาเป็นคนมีน้ำใจกับทุกคน เป็นคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทุ่มเทเวลาทุกอย่างเพื่องาน เป็นที่รักของเพื่อร่วมงานตลอดจนผู้บังคับบัญชาอีกด้วย ถึงแม้ว่าหมวดเชียรจะเสียขาขวาขณะปฏิบัติหน้าที่ไป 1 ข้าง ก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่บกพร่องสมเกียรติตำรวจไทย ดั่งเพลงมาร์ชพิทักษ์สันติราษฎร์ใจความท่อนหนึ่งว่า “ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน มิเคยคำนึงถึงชีวัน เข้าประจันเหล่าร้ายเพื่อประชา”
จ.อ.นักรบ แสงฤทธิ์ ทหารเรือสังกัดกองเรือยุทธการ บุตรชายคนโตของร.ต.ท.ก้องหล้า เปิดเผยว่า พ่อเป็นตำรวจที่มีวินัย และตั้งใจทำงานมาก และเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบใคร แม้แต่ตน เคยโดนใบสั่ง พ่อก็ไม่เคยใช้ความเป็นตำรวจจัดการให้ บอกให้ตนไปจัดการเสียค่าปรับให้เรียบร้อย สิ่งที่พ่อภูมิใจมากที่สุดคือ ได้เห็นบุตรชายคนเล็ก นายเมษา แสงฤทธิ์ ได้สวมชุดนักเรียนพลตำรวจ ที่กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนพลตำรวจจ.ขอนแก่น โดยถ่ายรูปคู่กันล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพราะพ่อรักในอาชีพตำรวจมาก อยากให้ลูกเป็นตำรวจ แต่ตนเป็นทหารเรือ มาได้น้องชายคนเล็กที่ได้สานฝันให้กับพ่อ นอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ร.ต.ท.ก้องหล้า ยังเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นพี่ชายคนโต จากพี่น้องทั้งหมด 7 คน ที่น้อง ๆ ต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวที่อื่นกันหมด ได้ร.ต.ท.ก้องหล้า เป็นผู้ดูแลคุณพ่อช่อ แสงฤทธิ์ วัย 80 ปี ที่อาศัยอยู่บ้านติดกันอย่างตลอดเวลา ขณะที่ดูแลบุตรชายและบุตรสาว 4 คน ส่งเสียร่ำเรียนจนมีงานทำ
พ่อช่อ แสงฤทธิ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “ไม่คิดว่าจะต้องมาเผาศพลูกชายก่อน เพราะได้วิเชียร หรือ ก้องหล้านี่แหละเป็นคนคอยดูแลพ่อมาตลอด”
สำหรับกำหนดพิธีงานศพนั้น ญาติได้จัดตั้งศพร.ต.ท.ก้องหล้า แสงฤทธิ์ ณ บ้านเลขที่ 10 ม.6 ต.ดินทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก บ้านของนายช่อ แสงฤทธิ์ เวลา 16.00 น. ของวันที่ 12 ตุลาคม 2558 พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพมีบรรดาข้าราชการตำรวจในสังกัดไปร่วมแสดงความไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลกจะเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมทุกคืน คืนสุดท้ายจะย้ายศพไปที่วัดดินทอง และกำหนดพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดดินทอง ในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2558 นี้