เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 11 ต.ค. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ท.ก้องหล้า แสงฤทธิ์ อายุ 59 ปี หัวหน้าหน่วยบริการประชาชนตำบลดินทอง สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก ได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์ปฏิบัติการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 บก.ภ.จ.พิษณุโลก ว่ามีเหตุคนสติไม่สมประกอบถือมีดหวดอาละวาดอยู่ภายในหมู่บ้านหมู่ 7 ต.ดินทอง อ.วังทอง จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบชายคนดังกล่าวกำลังถือมีดไล่จะทำร้ายชาวบ้านอยู่ จึงเดินเข้าไปเพื่อระงับเหตุ แต่กลับถูกชายสติไม่สมประกอบใช้มีดหวดฟัน โดยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ทัน เนื่องจาก ร.ต.ท.ก้องหล้า ใส่ขาเทียมข้างขวา ทำให้ได้รับบาดเจ็บตามใบหน้าและร่างกายรวม 18 แผล ชาวบ้านจึงรีบช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลวังทอง เพื่อให้แพทย์ยื้อชีวิตแต่ไม่สามารถช่วยไว้ได้ทัน เนื่องจากอาการสาหัสและทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา
เหตุเศร้าสลดสูญเสียตำรวจสภ.วังทอง ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. 11 ตุลาคม 2558 ร.ต.ท.กิตติณัฏฐ์ บุญแท้ ร้อยเวร สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก รับแจ้งเหตุมีชายคลุ้มคลั่งใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณปากซอยตรงข้ามโรงเรียนวัดกกไม้แดง หมู่ 7 บ้านแหลมม่วง ริมถนนเส้นวังทอง – สากเหล็ก ต.ดินทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ธรธวัช แจ่มอุดมโชต ผกก.สภ.วังทอง ผู้บังคับบัญชา ที่เกิดเหตุพบรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า สีดำ จอดแน่นิ่งอยู่ บริเวณข้างรถพบกองเลือดสาดกระเซ็นเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กู้ภัยบูรพาได้ให้การช่วยเหลือนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลวังทองไปก่อนหน้านี้ ทราบชื่อต่อมา คือ ร.ต.ท.ก้องหล้า แสงฤทธิ์ อายุ 59 ปี รอง สว.(ป.) สภ.วังทอง ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบริการประชาชนตำบลดินทอง สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก มีบาดแผลถูกฟันที่ศีรษะลึกถึงกะโหลก 12 แผล หน้าท้อง 1 แผล ชายโครงขวา 1 แผล แขนขวา 1 แผล หลัง 3 แผล ข้อมือขวาหวิดขาด ฟันด้านหน้าหักหลายซี่ โดยแพทย์และพยาบาลพยายามยื้อชีวิตกว่า 1 ชั่วโมง แต่เนื่องจากอาการสาหัสและเสียเลือดมาก จึงทนพิษบาดแผลไม่ไหวทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ต่อมา นางจำเนียร แสงฤทธิ์ อายุ 56 ปี บ้านเลขที่ 62 หมู่ 6 ต.ดินทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ภรรยาของผู้เสียชีวิต พร้อมด้วย น.ส.เขมมิกา แสงฤทธิ์ อายุ 29 ปี บุตรสาว และญาติรวมทั้งชาวบ้าน ต่างพากันเดินทางมาที่โรงพยาบาลวังทอง หลังจากทราบว่า ร.ต.ท.ก้องหล้า เสียชีวิต ถึงกับร่ำไห้ด้วยความเสียใจกันทุกคน ถึงกับโผเข้าไปกอดศพผู้เสียชีวิต ส่วนนางจำเนียร ภรรยา เอาแต่กอดขาเทียมของสามีร่ำไห้แทบไม่ได้สติ โดยนางจำเนียรเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า สามีกำลังทานข้าวอยู่ที่บ้านพักพร้อมกับตนเองและบุตรสาว ขณะนั้นได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่า มีเหตุชายคลุ้มคลั่งถือมีดจะทำร้ายชาวบ้าน ที่หมู่ 7 บ้านแหลมม่วง จึงละจากวงข้าวแต่งกายชุดตำรวจสีกากีครึ่งท่อนทันทีเพื่อจะไปปฏิบัติหน้าที่ แม้ภรรยากับบุตรสาวจะทักท้วงห้ามปรามว่าหมดเวลาทำงานแล้วก็ตาม แต่ด้วยปกติวิสัยแล้ว ร.ต.ท.ก้องหล้า จะออกปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งเมื่อได้รับแจ้งเหตุทางวิทยุสื่อสาร แม้จะหมดเวลาทำงานแล้วก็ตาม จึงขับรถยนต์เก๋งส่วนตัวออกจากบ้านไปยังที่เกิดเหตุ กระทั่งมาทราบข่าวอีกทีว่าถูกคนร้ายคลุ้มคลั่งใช้อาวุธมีดฟันได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่กู้ภัยและชาวบ้านช่วยกันนำส่งโรงพยาบาล ตนกับบุตรสาวและญาติจึงรีบติดตามกันมาดู แต่ก็ไม่ได้ทันดูใจสามี
นอกจากนี้นางจำเนียร ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บุตรชายคนเล็ก คือ นายเมษา แสงฤทธิ์ อายุ 21 ปี พึ่งสอบติดนายสิบตำรวจอยู่ที่ จ.ขอนแก่น พึ่งเดินทางมากราบเท้าพ่อหลังสอบติดเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ตอนนี้ตนยังไม่กล้าบอกบุตรชายเลย เพราะกลัวบุตรชายทำใจไม่ได้ เนื่องจากปีหน้าสามีตนก็จะเกษียณแล้ว ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ เบื้องต้นทราบชื่อคือ นายธีรยุทธ รอดเลิศ หรือทา อายุ 42 ปี บ้านเลขที่ 88 หมู่ 7 ต.ดินทอง อ.วังทอง เป็นคนสติไม่สมประกอบ มีประวัติเคยเข้ารับการรักษาอาการทางจิตเวชที่โรงพยาบาลวังทอง โดยขณะก่อเหตุคนร้ายไม่สวมเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้นสามส่วน สะพายย่าม ใช้อาวุธมีดขอและมีดพกอีก 2 เล่มเป็นอาวุธ หลังเกิดเหตุปืนพกประจำตัวของสามีก็หายไปด้วย นอกจากนี้คนร้ายยังทำมีดขอเปื้อนเลือดตกไว้ในที่เกิดเหตุ ก่อนวิ่งหลบหนีไปกับความมืดพร้อมกับอาวุธมีดพก
ด้าน พ.ต.อ.นฤชา สุวรรณลาภา รอง ผบก.อก.ภ.6 หลังทราบข่าวจึงได้เดินทางมาดูศพผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ร.ต.ท.ก้องหล้า เป็นตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตนรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี เคยร่วมงานที่เสี่ยงภัยด้วยกันมาหลายครั้งในขณะที่จับกุมคนร้ายคดีร้ายแรงต่างๆ ตนไม่คิดว่าผู้ใต้บังคับบัญชาน้ำดีจะมาเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ ซึ่งขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณกว่า 30 นาย ได้ลงพื้นที่ปิดล้อมที่เกิดเหตุไว้แล้วบริเวณวัดกกไม้แดง ซึ่งคาดว่าคนร้ายอาจจะหลบหนีอยู่ในบริเวณดังกล่าว และหยิบฉวยอาวุธปืนของ ร.ต.ท.ก้องหล้าติดมือไปด้วย ถ้าหากเกิดการต่อสู้หรือไม่ยอมมอบตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะวิสามัญฆาตกรรมได้.
………………………………………………………………………………………………………