วัดอินทรีย์ ชื่อวัดนี้เกิดจากชื่อของต้นไม้ในแถบจังหวัดพิษณุโลก และที่วัดนี้ยังมีพระหลวงพ่อพระพุทธชินราชไม้คะเคียนทองที่ใหญ่ที่สุด ประดิษฐานอยู่ ซึ่งสวยงามเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก
ที่วัดอินทรีย์ หมู่ 4 ตำบลวัดพริก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ คาดว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ร่วมสมัยกับสงครามบ้านปากพิง ซึ่งในวัดปรากฏสิ่งปรักหักพังเก่าแก่หลงเหลือให้เห็นอยู่มากมาย พระครูมานะ มหาวีโร หรือ พระครูพิริยะวิระกิจ เจ้าอาวาสวัดอินทรีย์ ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้อธิบายให้ทีมข่าวทราบว่า วัดนี้หากใครไม่ทราบประวัติก็จะนึกถึงนกอินทรีย์ แต่ที่แท้จริงแล้วชื่อวัดนี้ตั้งขึ้นตามชื่อของต้นนนทรี ซึ่งเป็นชื่อทางวิชาการ แต่ชาวบ้านเรียกว่าต้นอินทรีย์ ซึ่งมีขึ้นอยู่รอบวัด และได้สร้างความร่มเย็นให้กับวัดมาช้านาน
ก่อนหน้าได้มีการพัฒนาวัดไปบางส่วน แต่เมื่อจะริเริ่มสร้างศาลาการเปรียญตอนช่วงปี 2556 เมื่อขุดลงไปกลับพบต้นตะเคียนอยู่ในพื้นที่ลานวัด เดิมตั้งใจจะอัญเชิญขึ้นมาแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงฝังกลบไว้ที่เดิม และได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ครอบไว้ จนกระทั่งคณะศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำชื่อคณะนวรัตน์ เดินทางมาจึงเห็นพ้องกันว่าจะสร้างพระประธานขนาดใหญ่ประจำศาลาด้วยไม้ตะเคียนทองขนาดใหญ่ และได้ช่างแกะสลัก คือกำนันอัฐ ซึ่งเป็นกำนันในเขตตำบลหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ ซึ่งก็บังเอิญได้พบไม้ตะเคียนทองขนาดใหญ่มากจมลึกอยู่ในดินโคลนแม่น้ำยมสายเก่า จังหวัดแพร่ จึงทำพิธีอัญเชิญและเริ่มแกะสลักเป็นองค์หลวงพ่อพระพุทธชินราชทั้งองค์ แบบไม่ได้ตัดต่อไม้ มีขนาดหน้าตักกว้าง 85 นิ้ว หรือประมาณ 1 วากว่า ถือว่าเป็นพระพุทธชินราชไม้ตะเคียนทองที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ เมื่อแกะสลักจนสวยงามแล้วพุทธศาสนิกชนได้พร้อมใจกันอัญเชิญมาประดิษฐาน อยู่บนศาลาการเปรียญแห่งนี้ โดยพุทธศาสนิกชนได้ตั้งชื่อว่า หลวงพ่อสมเด็จพระสัพพัญญุตญาณองค์ปฐม และเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา ตราบนานเท่านาน อยู่คู่กับพุทธศาสนิกชนตลอดไป ซึ่งทุกวันก็จะมีผู้เลื่อมไสศรัทรามากราบไหว้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณความรู้รอบเมืองพิษณุโลกจากคุณสุรเชษฐ์ มากร