วันที่ 5 กรกฏาคม 2558 ที่บ้านเลขที่ 68 ม.ที่ 2 ต.หอกลอง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม รองแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนางสาวพรรษา พรหมมีเนตร อายุ 33 ปี หนึ่งใน 11 รายของชาวพิษณุโลก ที่เข้าร่วมโครงการ”คนกล้าคืนถิ่น” ที่เปิดรับสมัครคนรุ่นใหม่ที่สนใจหลักการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงมาอบรมให้ความรู้ ได้เรียนรู้การปฏิบัติจริงจากปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ และเข้าอบรมที่ศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกองทัพบกในค่ายทหารทั่วประเทศ พร้อมกับนำกลับมาใช้ในภูมิลำเนาของตนเอง ให้สามารถประยุกต์ใช้การทำการเกษตรแบบผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
สำหรับนางสาวพรรษา พรหมมีเนตร อายุ 33 ปี ผู้เข้าร่วมโครงการคนกล้าคืนถิ่น มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 68 ม.2 ต.หอกลอง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก อาศัยอยู่กับนายจำนง พรหมมีเนตร บิดา ที่มีอาชีพทำนา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยนเรศวร ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูพิษณุโลก เมื่อสมัครเข้าร่วมโครงการในปี 2558 ได้เข้าไปเรียนรู้กับปราชญ์ในพื้นที่และอบรมที่ศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกองทัพภาคที่ 3 โดยกองพันทหารปืนใหญ่ 104 พิษณุโลก จากนั้น ได้กลับมาปฏิบัติโดยใช้พื้นที่ที่บ้านพักใช้พื้นที่ว่างหลังบ้านจำนวน 2 ไร่ ปลูกผักบุ้งส่งขายร้านหมูกระทะในจังหวัดพิษณุโลกทุกวัน ทดลองปลูกมะนาววงบ่อ และทอลองปลูกถั่วฝักยาวให้ออกได้นอกฤดูกาล ร่วมกับบิดาปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี้และขายทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งนายจำนง พรหมมีเนตรผู้เป็นบิดา ทำนาในพื้นที่ 40 ไร่ แต่ได้แบ่งเนื้อที่ส่วนหนึ่งจำนวน 17 ไร่ มาปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ และนำมาทำการแปรรูปสีในโรงสีชุมชน
นางสาวพรรษา พรหมมิเนตร เปิดเผยว่า ได้รับทราบข้อมูลและสมัครร่วมโครงการคนกล้าคืนถิ่นทางอินเตอร์เน็ต ต้องการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในช่วงทำงานปกติก็จะยังคงทำงานที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู และใช้เวลาหลังเลิกงานร่วมกับครอบครัวดูแลพื้นที่ปลูกแปลงเกษตรผสมผสาน
ขณะที่การดำเนินการโครงการต้นกล้าคืนถิ่นในส่วนของของกองทัพภาคที่ 3 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนลงพื้นที่ปฏิบัติการคนกล้าคืนถิ่น โดยจะลงพื้นที่ปฏิบัติการ 5 เดือนในห้วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน2558 มีผู้ร่วมโครงการ 190 คน
ต่อมา คณะของรองแม่ทัพภาคที่ 3 เดินทางต่อไปพบ นายธนากร พดคง บ้านเลขที่ 167/1 ม.1 ต.ไผ่ขอดอน อ.เมืองพิษณุโลก อายุ 26 ปี จบปริญญาตรีสาขาวิศวอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.ตาก เคยทำงานเป็นวิศวกรบริษัทแห่งหนึ่ง ในจ.ระยอง เงินเดือน 22,000 บาท แต่ต้องลาออกมาขุดบ่อล้อมรอบแปลงเกษตรผสมผสาน ทั้งเลี้ยวปลา ทำสวนพริกไทย ชะอมและนาข้าว ในพื้นที่ของพ่อแม่ 5 ไร่ 
นายธนากร พดคง กล่าวว่า จุดผลิกผันของชีวิตเมื่อทราบว่าเงินเดือนกว่า 2 หมื่นบาท ไม่สามารถหาปัจจัยสีได้ครบ ชีวิตอยู่กับงาน มีเวลาพักเพียง 2 วันจึงตัดสินใจสมัครร่วมของการของกองทัพบก ลาออกจากอาชีพวิศวกร อีกทั้งกลับมาหาพ่อแม่ดูแลในยามชรา ลงทุนซื้อเสาแท่งปลูก ทำสวนพริกไทย จากผืนนาพ่อแม่ทำอยู่เดิม ปลูกพืชผสมผสาน หลายชนิด ลงทุนก่อสร้างบ้านข้างแปลงนา แต่ ณ.วันนี้ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็ขอขอบคุณ ผบ.ม.พัน 9 และ ผบ.พล.ร.4 ที่เดินทางมารับทราบปัญหาและกำลังติดต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขยายเขตมาลงที่บ้าน 
จากนั้นคณะของรองแม่ทัพภาคที่ 3 เดินทางต่อไปหา นายนิพล สุเยาว์ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 301 ม.8 ต.บึงกอก อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก จบปริญญาตรีสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปริญญาโทสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันประกอบอาชีพเกษตรกร ทำเกษตรผสมผสาน ปลูกมะนาววงบ่อ ผักสวนครัว เลี้ยงปลาดุก เลี้ยงกบ เลี้ยงหมู โรงสีข้าวจำหน่ายข้าวหอมมะลิ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในผู้กล้าคืนถิ่น ที่ปลูกมะนาววงบ่อจนสำเร็จ
พลตรีคู่ชีพ เลิศหงิม รองแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่ายินดีที่พบเห็น ผู้กล้าที่มีความรู้และหลักวิชาการ ได้นำมาใช้และพัฒนาภูมิลำเนาเดิม ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งงเป็น โครงการต้นกล้าคืนถิ่นของกองทัพบก ในส่วนของของกองทัพภาคที่ 3 มีผู้ร่วมโครงการ 190 คนแบ่งเป็นเหนือบน 89 รายและเหนือล่าง 101 ราย ในส่วนของพิษณุโลกมี 11 ราย โดยกองทัพภาคที่ 3 ออกติดตามผลการปฏิบัติการของคนกล้าคืนถิ่น หากมีปัญหาติดขัดใดๆ กองทัพภาคที่ 3 จะเข้าช่วยเหลือ
จากนั้นคณะได้ไปเยี่ยมบ้านของนายนิพล สุเยาว์ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 301 ม.8 ต.บึงกอก อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก จบปริญญาตรีสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปริญญาโทสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันประกอบอาชีพเกษตรกร ทำเกษตรผสมผสาน ปลูกมะนาววงบ่อ ผักสวนครัว เลี้ยงปลาดุก เลี้ยงกบ เลี้ยงหมู โรงสีข้าวจำหน่ายข้าวหอมมะลิ