ชาวนาต.วัดพริกอ.เมือง จ.พิษณุโลก หันมาปลูกตะไคร้หอม เพื่อส่งให้โรงงานทำชาตะไคร้ส่งออก มีรายได้ดีกว่า การทำนา ที่นับว่ามีต้นทุนสูง และมีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำ
วันที่ 9 มิถุนายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวนาในพื้นที่ ต.วัดพริก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้พลิกผืนนาข้าวหันมาปลูกต้นตะไคร้ เก็บเกี่ยวใบทำชาตะไคร้ ส่งออกสร้างรายได้ดี กว่าทำนา โดยเกษตรกรชาวนารายนี้คือ ลุงแจ้ง วงค์สุวรรณ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 ม.8 ต.วัดพริก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ลุงแจ้งเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมก็ทำนาตามปกติ ต่อมาเริ่มมีปัญหาเรื่องภัยแล้งทำให้ไม่สามารถทำนาได้ ประกอบกับตนเองเห็นว่าการทำนาต้องลงทุนเยอะ ตนจึงเริ่มหาช่องทางอะไรที่จะสามารถหารายได้เลี้ยงครอบครัวได้ จึงเริ่มศึกษาเรื่องชาตะไคร้ เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกและดูแลง่าย ไม่ต้องลงทุนมาก ตนจึงเริ่มซื้อพันธุ์ตะไคร้หอมมาปลูกในพื้นที่ทำนาข้าว จำนวน 3 ไร่ ใช้เวลาปลูกประมาณ 2 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวใบได้ จากนั้นก็จะเก็บเกี่ยวทุกๆ 25 วัน โดยเก็บเกี่ยวได้ไร่ละประมาณ 1 ตันจากนั้นจะนำใบตะไคร้สดที่ตัดได้ไปเข้าเครื่องหั่น และนำไปตากแดด 1 แดด จากนั้นก็จะนำส่งขายที่โรงงานในจังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อนำบรรจุส่งขายต่างประเทศ โดยราคาที่ส่งขาย อยู่ที่ราคา ตันละ 21,000 บาท หากขายปลีก ก็จะอยู่ที่ ราคากิโลกรัมละ 20 บาท หรือกระสอบละ 400 บาท
ลุงแจ้ง ยังบอกต่ออีกว่า ต้นตะไคร้หอมของตนปลอดสารทุกชนิด ไม่มีการฉีดยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้า ใช้เพียงรดน้ำเท่านั้น ส่วนปุ๋ยก็จะใส่เพียงปุ๋ยชีวภาพ เนื่องจากเราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าที่ซื้อไปบริโภค เพราะเวลาชงผู้บริโภคจะต้องรับสารโดยตรงซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งการทำสวนตะไคร้หอม ถือว่ามีรายได้ดีกว่าการทำนา แต่ในช่วงนี้ก็ยังทำนาบ้าง เพื่อครอบครัว จะได้ไม่ต้องไปซื้อข้าวกิน ประกอบกับพื้นที่ที่เหลือ ก็ปลูกต้นมะนาวในวงบ่อ เพื่อนำไปขายอีกช่องทางหนึ่งด้วย ซึ่งถือว่าเป็นแนวเศรษฐกิจพอเพียงเช่นกัน
——————————————————————————————————————————–