งานสมโภชพระพุทธชินราชประจำปี 2558 หรือ งานวัดใหญ่ ประชาชนชาวพิษณุโลกและนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้ขึ้นพระปรางค์ ด้านหลังวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช เปิดให้ขึ้นได้ปีละ 1 ครั้งในช่วงจัดงานวัดใหญ่ ไหว้พระบรมสารีริกธาตุบรรจุในสถูปเจดีย์สีทอง
วันที่ 25 มกราคม 2558 งานสมโภชพระพุทธชินราชประจำปี 2558 หรือ งานวัดใหญ่ งานประเพณีเก่าแก่ของเมืองพิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือ วัดใหญ่ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้จัดเป็นประจำทุกปี ระหว่าง วันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 3 ปีนี้กำหนดจัดงานระหว่าง 25-31 มกราคม 2558 ที่วันนี้ ประชาชนทั้งชาวพิษณุโลกและต่างจังหวัดได้เดินทางมาเที่ยวงานจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณหน้าวิหารและภายในวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราชเนืองแน่นด้วยผู้คน ที่เข้ามากราบนมัสการพระพุทธชินราช พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิษณุโลก
และถือเป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมายาวนาน ในทุกปีของงานสมโภชพระพุทธชินราช วัดใหญ่ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว ได้ขึ้นไปบนพระปรางค์ ที่อยู่ด้านหลังวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราชในตลอดช่วงเวลาจัดงาน 7 วัน จากที่ปกติ จะปิดประตูล็อค และไม่ให้ขึ้นไปบนพระปรางค์ ในวันนี้ ทั้งชาวพิษณุโลกและนักท่องเที่ยว ได้มีโอกาสปีนบันได 25 ขั้น ขึ้นไปบนพระปรางค์ ที่ภายในมีสถูปเจดีย์สีทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีนักเรียนโรงเรียนพุทธชินราชพิทยา คอยอำนวยความสะดวกและแนะนำ การขึ้นลงให้อย่างปลอดภัย แม้ว่าใจกลางพระปรางค์จะไม่สูงมากนัก แต่บันไดทางขึ้นค่อนข้างชัน และนักเรียนจะคอยไปขึ้นไปเก็บดอกไม้ธูปเทียนที่นักท่องเที่ยวนำขึ้นไปด้านบน รวมถึงคอยชี้และขอความร่วมมือห้ามปิดทองที่สถูปเจดีย์สีทอง
พระปรางค์วัดใหญ่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก ในช่วงงานวัดใหญ่ของทุกปี เป็นโอกาสอันดี สำหรับบางท่านที่อาจจะไม่เคยขึ้นไปกราบนมัสการองค์สถูปเจดีย์ ที่เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจชาวพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะที่สำคัญของพระมหากษัตริย์คู่พิษณุโลกสองแควเนิ่นนานมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยในพระมหาธรรมราชาที่1ลิไท เดิมนั้นพระปรางค์วัดใหญ่น่าจะเป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม หรือพุ่มข้าวบิณฑ์ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ สมัยอยุธยาตอนต้น พิษณุโลกได้เป็นเมืองหลวงถึง 25 ปี จึงทำนุบำรุงพุทธศาสนานำเอาศิลปะแบบอยุธยาเข้ามาสร้างให้ มีเอกลักษณ์เพื่อเป็นขอบเขตอาณาจักร สัญลักษณ์ ขอบเขตที่เป็นพื้นที่ๆ ห้ามลุกลาน เจดีย์จึงได้ฟอกบูรณะปรับปรุงให้เป็นพระปรางค์ตามยุคสมัย เป็นพระปรางค์ทรงคล้ายฝักข้าวโพด และมีการซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงโดยการบูรณะตามยุคสมัยกาลเวลา เช่น การนำเอากระเบื้องโมเสทที่ฉาบด้วยทองไปปิดทำให้เกิดความสวยงาม เรียก“นพเก้า” ปัจจุบันมีการบูรณะใหม่เปลี่ยนกระเบื้องโมเสค”นพเก้า” ลอกปูนที่หมดอายุนำเอาปูนปั้นรูปพญาครุฑยุดนาคลงทั้ง12ตนและนำครุฑที่เรียกครุฑพาห์ทิศละ1ตนและยักษ์พระเวสสุวัณทิศละ6ตน สี่ทิศด้วยกันที่เห็นได้ในปัจจุบันนี้
ครั้งในข่วงสมัยรัชกาลที่7 ได้กำหนดให้มีงานประจำปีกำหนดทุกวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน3 จึงเกิดเป็นงานสมโภชประจำปีๆละครั้ง ที่สำคัญได้ให้โอกาสประชาชนที่ศรัทธาได้เข้าใกล้องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า กราบพระบรมสารีริกธาตุ โดยทางวัดเปิดให้ขึ้นพระปรางค์ ในช่วงงานสมโภชพระพุทธชินราชเป็นประจำทุกปี ซึ่งต่างจากเจดีย์หรือพระธาตุจังหวัดอื่นๆที่มักจะไม่ให้คนทั่วไปได้เข้ากราบและได้ชมเป็นที่อันสงวนถึงความศักดิ์สิทธิต้องห้าม (โดยเฉพาะผู้หญิง) จึงถือว่าน่าเป็นโอกาสที่ดี ในงานวัดใหญ่ทุกๆปีหากมีโอกาสควรขึ้นไปกราบนมัสการ ชมความสวยงามศิลปะไทย
สิ่งที่น่าประทับใจใจกลางพระพรางค์ อาทิ สถูปเจดีย์สีทองที่เป็นทรงลังกาหรือคล้ายระฆังคว่ำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุศูนย์รวมจิตใจพุทธศาสนิกชนบนฐานบัลลังก์สามชั้น ลงพื้นสีชาดแดงและปิดทองมีลายไทยลายประยามประดับกระจก2ชันบน,กระเบื้องทอง,คาดลายดอกไม้ฐานบน,คาดลายประจำยามก้ามปูฐานกลาง,ลายกระจังตาอ้อยคว่ำหงายฐานล่าง, ด้านหลังประดิษฐานพระปรางมารวิชัยในคูหา ,ตัวดาวเพดานบูรณะคราวเดียวกันลงชาดปิดทอง ล่องลงสีเขียวที่รอบดาวเดือน สีเขียวเข้ามาสร้างความสวยงามตามสมัยนิยม หากได้นมัสการจะรู้สึกความอิ่มใจอิ่มตาในความสวยงามพุทธศิลป์ บานประตูใหม่จากที่เริ่มผุพัง แกะลายไทยกนกเปลวสีทองล่องลงสีชาดแดง(บานเดิมอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ให้ชม ) ขั้นบันได25ขั้น เสริมราวสแตนเลท เพื่อความปลอดภัย(เดิมหากมีงานประจำปีจะเป็นลำไม้ไผ่ให้ชาวเมืองได้จับขึ้นไป)มีพญานาค7เศียรเป็นราวบันไดให้คนสมัยก่อนได้ ค่อยๆลูบราวหรือเกล็ดพญานาคขึ้นไปอย่างมีสติแฝงกรุศโลบาย หน้าพญานาคมีเทวดา2องค์คอยดูแลเรียกเทพดาพนมดั้งเดิมจากรูปภาพเก่าเล่ากาล อ้างอิงในสมัยรัชกาลที่7เสด็จ พ.ศ.2469 ขวามือทางขึ้นพระปรางค์ มีพระองค์ใหญ่ที่ชำรุดเพียงองค์เดียว สิงห์สองตัวบนฐานเฝ้าประตู ระเบียงคดที่สร้างในยุคหลังที่มีซุ้มประตูลายไทย
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..