นายนิยม ใชยรัตน์ อายุ 68 ปี อดีตรองผอ.ฝ่ายปกครองรร.เฉลิมขวัญสตรี ที่เออร์รี่รีไทน์ออกมาตั้งแต่ปี 2544 และมาทำการเกษตรเต็มตัว ทั้งสวนยางพารา ผลไม้หลากชนิด และสะตอ ที่บ้านเกษตรสุข ม.5 ต.บ้านแยง อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า เดือนมิถุนายนที่เริ่มต้นเข้าสู่หน้าฝน ที่แปลงเกษตรของต้น สะตอที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ กำลังออกผลผลิตแทบทุกต้น และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด รวมทั้งขณะนี้มีเกษตรกรในพื้นที่หลายหลายให้ความสนใจมาเรียนรู้และปลูกจำหน่าย รับสะตอไปวางจำหน่ายตามแผงผลไม้ริมเส้นทางพิษณุโลก-หล่มสักบริเวณน้ำตกปอย ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จำนวนมาก
นายนิยม เล่าว่า จากเดิมตนมีอาชีพเป็นข้าราชการครูที่โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี ในช่วงที่รับราชการมีความสนใจที่จะทดลองปลูกยางพาราในพื้นที่ จ.พิษณุโลก จึงได้หาซื้อที่และลงมือปลูกยางพารา เมื่อปี 2530 ในช่วงนั้นก็ทำการปลูกพืชชนิดอื่นควบคู่ไปด้วย อย่างส้มโอ จนกระทั้งเกษียณอายุราชการเออร์รี่รีไทย์เมื่อปี 2544 ก็ได้มาดูแล สวนยางและสวนส้มโอ ในช่วงนั้นก็ได้นำเมล็ดสะตอจากภาคใต้ มาปลูกแซมในพื้นที่ จนเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาสตอได้ให้ผลผลิตก็เริ่มออกจำหน่ายให้กับชาวบ้านใกล้เคียงและเริ่มมีชาวบ้านมารับไปขายตามข้างถนนสายพิษณุโลก – หล่มสัก จนปัจจุบันเป็นที่ต้องการมีชาวบ้านมารับซื้ออยู่ตลอด โดยขายอยู่ในราคาฝักละ 7-10 บาท ส่วนส้มโอที่ปลูกไว้ก็เริ่มทิ้งไม่ได้ใส่ใจและหันมาปลูกสตอเป็นหลักควบคู่กับการทำสวนยาง
นายนิยม เล่าต่อว่า การปลูกสะตอนั้นไม่ยาก ไม่ต้องดูแลมาก แค่ใส่ปุ๋ยบ้างและดูแลไม่ให้พื้นที่ปลูกรกรุงรัง ในภาคใต้จะนิยมปลูกแบบผสมผสานกับไม้ผลอื่น ในพื้นที่ของตน ได้ปลูกสะตอระยะห่าง 10 คูณ 10 เมตร มีทั้งพันธุ์สะตอดาน ( เม็ดใหญ่ กลิ่นแรง ) และพันธุ์สะตอข้าว ( เม็ดเล็ก กลิ่นฉุนน้อยกว่า ) การดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ดูแลใส่ปุ๋ยปีละ 1-2 ครั้ง เริ่มปลูกได้ 3-5 ปี สะตอก็จะเริ่มให้ผลผลิต และออกต่อเนื่องทุกปีในช่วงหน้าฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปถึงเดือนตุลาคม เมื่อเริ่มออกฝักก็จะมีแม่ค้ามาขอซื้อถึงสวน และส่วนหนึ่งตนเก็บเองไปขายแม่ค้าในเขตอ.เมืองพิษณุโลก และตามข้างทางแหล่งท่องเที่ยว โดยต้นสะตอต้นหนึ่งจะทำรายได้ปีละ 5,000-10,000 บาท โดยสวนของตนมีสะตอที่เริ่มออกผลผลิตประมาณ 100 ต้น นอกจากนี้ สะตอที่ปลูกในพื้นที่ จ.พิษณุโลก จะไม่มีกลิ่นฉุนมากนัก และจะกรอบ หวานนิดหน่อย ต่างจากสะตอใต้ ที่กลิ่นจะฉุนแรงกว่า ทำให้คนที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนของสะตอ สามารถรับประทานได้ง่ายขึ้น จึงเริ่มเป็นที่ต้องการของตลาด ขณะนี้ในพื้นที่ตำบลบ้านแยง ก็เริ่มมีเกษตรกรหันมาปลูกสะตอกันจำนวนมาก
นายนิยม เผยต่อว่า ช่วงนี้ยางพาราราคาเริ่มตกต่ำมาก ยืนอยู่ที่กก.ละ 60 กว่าบาทมานาน ต่างจากช่วงก่อนที่เคยราคาสูงถึงกก.ละ 180-200 บาท รัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำได้ การปลูกสะตอจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งของรายได้ เป็นไม้ผลที่ต่างจากไม้ผลชนิดอื่น ๆ เพราะอำนาจการตั้งราคาอยู่ที่เจ้าของสวน ไม่ใช่พ่อค้าที่มารับซื้อ เรากำหนดราคาขายเอง