หากท่านได้มาด้านหลังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯบริเวณสระ”อภัยทาน”ที่มีเจ้าแม่กวนอิมอยู่กลางสระ ประตูทิศตะวันออก จะพบร้านข้าวเกรียบว่าวและข้าวเกรียบงา ที่มีคุณลุงผู้ชายมานั่งค่อมหน้าเตาที่มีรูปร่างเหมือนกระมังมีตะแกงและควันไฟ กำลังพลิกขนมแผ่นไปมา ส่วนมากจะเห็นคุณลุงเหงื่อไหลไคย้อยทามกลางความร้อนของอากาศเมืองพิษณุโลก ดูแล้วน่าจะร้อนน่าดูแล้ว อีกทั้งต้องสูดดมควันตลอดเวลา ทุกท่านลองตั่งคำถามเองต่อว่า ร้อนก็ร้อนแล้วจะปิ้งตลอดเวลาไปขายใคร? บางวันคนก็ไม่ค่อยมี แต่ก็ยังเห็นปิ้งอยู่
แต่นี่คืออาชีพสุจริตที่หล่อเลี้ยงครอบครัวได้มากว่า20ปี
คุณลุงสมศักดิ์ บำรุงดี อายุ58ปีเกิดปีพ.ศ.2498บ้านอยู่วัดหนองปลาค้าว
ขายมาตั่งแต่ปี พ.ศ.2538 ปี2547ย้ายมาที่ปัจจุบัน ริมถนนทิศตะวันออกของสระอภัยทานประตูออกวัดด้านตลาดเทศบาล2 (ตลาดวัดใหญ่)
เดิมประกอบอาชีพปั่นสามล้อ หันมาขายข้าวเกรียบที่มีส่วนผสมขั้นตอนคร่าวดังนี้
ข้าวเกรียบงาเป็นแผ่นกลมขนาดไม่ถึงคืบสีน้ำตาลไหม้มีงาและมะพร้าวในเนื้อแป้งส่วนผสมหลักคือแป้งข้าวเจ้า,งา ,มะพร้าว,น้ำตาล นำมาโม่คล้ายทำขนมครกนำลงกระทะใบบัว นำลงใส่แม่พิมพ์นำมาปิ้งบนตะแกงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ลุงสมศักดิ์ได้ประดิษฐ์จากกระมังเหล็กเคลือบที่เก็บความร้อนได้ดี ข้าวเกรียบงาไฟไม่ต้องแรงเท่าปิ้งข้าวเกรียบว่าว แล้วม้วนใส่กระบอกไม้ไผ่ที่ตัดมาพอดีเพื่อให้ห่อตัวพอเย็นลงจึงนำใส่ถุง8-9ชิ้น ขายราคาถุง 20บาท
ข้าวเกรียบว่าวแผ่นใหญ่คล้ายว่าวที่มาของชื่อ สีเหลืองนวลกรอบน่ากิน
ส่วนผสมข้าวเหนียว – ไข่แดง– น้ำมันมะพร้าว -น้ำตาลอ้อย
วิธีทำข้าวเหนียวสุกตำในครกคล้ายบดกล้วยให้เด็ก นวดใส่ น้ำมันมะพร้าวใส่ไข่แดงผสมลงไป น้ำตาลอ้อยต้มให้เดือด เทส่วนผสมลงไปแล้วตักขึ้นปาดมีแบบนำไปผึ่งสัก2วัน
อัตราส่วน-ไข่แดง20ฟองน้ำตาล8 กิโลกรัม ข้าวเหนียว1ถัง ได้300แผ่น
ข้าวเกรียบว่าวต้องปิ้งทีละแผ่นโดยต้องการความร้อนของถ่านเพื่อที่จะให้ฟูกรอบพลิกไปมาไม่ให้ไหม้ โดยใช้อุปกรณ์ทำจากไม้ไผ่แยกออกจากกันคล้ายมือ สมัยนี้มีเป็นเหล็กด้ามไม้แต่ลุงสมศักดิ์ยังใช้ไม้ไผ่อยู่แบบวิถีไทยเดิม ใส่ถุงละ2-3แผ่น20บาท ข้อดีของข้าวเกรียบทั้งสองคือเก็บทานไว้ได้นาน
คุณลุงสมศักดิ์ ขายที่วัดจนเป็นเอกลักษณ์ มีลูกค้าประจำบางทีมาซื้อวันละ10-20ถุงและมีบางคนรับไปขายตามหมู่บ้าน,-ตลาด,-ตามงานกระแสอนุรักษ์ตามตลาดย้อนยุค บ้างคนมาจากกรุงเทพ,ระยองรับไปขายถุงละ40 จากที่ขายหน้าร้านเพียง20บาทเคยขายถนนคนเดินแป๊บเดียว400แผ่น
มีรายรับวันละพันกว่าบาทถือว่าทำรายได้ๆเป็นอย่างดี แต่ต้องแลกมาจากความตั่งใจและขยันอดทน เพราะบางที่อากาศร้อนต้องนั่งหลังขดหลังแข็งหยาดเหงื่อเต็มหน้าเต็มตัว บางทีอากาศหนาวเย็นก็พอช่วยได้แต่ผิวหนังแตกต้องชโลมน้ำมันช่วยสูดดมควันตลอดเวลา
นี่คืออาชีพอีกอาชีพที่คนรุ่นใหม่อาจ มักจะไม่สนใจ แต่ผลกำไรที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้สบายๆอย่างภาคภูมิใจ และควรคู่อนุลักษณ์วิถีชีวิตคนท้องถิ่น จะเรียกขนมแบบไทยๆก็ว่าได้ที่กำลังสูญหายไป ควรค่าแก่การส่งเสริมหากได้ไปนมัสการพระพุทธชินราชลองไปช่วยอุดหนุนให้ลูกหลานได้ลองชิมหรือซื้อติดมือไปเป็นของฝากก็ยังได้
ข้าวเกรียบว่าว,ข้าวเกรียบงา “มุกดาวัดใหญ่” คุณลุงสมศักดิ์ วัดใหญ่ถือเป็นของดีในเมืองอีกอย่างหนึ่ง
กล้าณรงค์ ภักดิ์ประไพ
รถรางนำเที่ยวเมืองพิษณุโลก
15 มกราคม 2557