ชาวบ้านวอนอย่าทุบทิ้งเสาเขตอุทยานฯ 50 ปี หนึ่งเดียวในเมืองไทย

DSC_0505เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 56 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่บ้านโป่งปะ ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ว่า ขณะนี้กำลังมีการสร้างเส้นทางขนาน สายพิษณุโลก-หล่มสัก ซึ่งมีการรื้อถอนต้นไม้ข้างทางทั้งสองฝั่งออกทั้งสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใน ตลอดแนวการก่อสร้างทางทั้งหมดทิ้ง  ซึ่งในจำนวนนั้นมีเสาคอนกรีตขนาดใหญ่ มีอายุร่วม 50 ปี ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก เป็นเสาที่ระบุเขตอุทยานทุ่งแสลงหลวง และเป็นเสาบอกแนวเขตติดต่อระหว่างบ้านโป่งปะ ต.แก่งโสภา กับ ต.บ้านแยง อ.นครไทย บริเวณกลางเสามีตัวอักษรย่อ “ กปม “  ซึ่งน่าจะย่อมาจาก กรมป่าไม้ ส่วนฐานจะมีตัวหนังสือเขียนว่า “ ป่านั้นคือมณี มีค่าอนันต์ “  อีกด้านเขียนว่า  “  มีป่าบำรุงดี  เท่ากับมี กัลปพฤกษ์   สี่มุมเมือง “  ส่วนด้านสุดเขียนว่า “อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง “DSC_0500

จากการสอบถามนางพิมล ทองรัตน์ สมาชิก อบต.แก่งโสภา  อยู่บ้านเลขที่ 115/1 ม.10 ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ในฐานะตนเป็นคนพื้นที่ เห็นเสาคอนกรีตดังกล่าวถูกสร้างมานานแล้ว อยู่ในความรับผิดชอบของป่าไม้ ถ้ามีการถอนถอนออกไปไม่อยากให้ทุบทิ้ง อยากจะให้มีการนำไปเก็บไว้ก่อน หลังสร้างถนนเสร็จ ให้นำกลับมาตั้งไว้ใกล้กับบริเวณเดิมเพราะเสาดังกล่าวเป็นสัญญาลักษณ์ของพื้นที่ดังกล่าวไปแล้ว เวลาใครผ่านไปมาจะตลอด บางครั้งยังมีคนลงไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก น่าจะมีแห่งเดียวในประเทศไทยDSC_0499

จากการสอบถาม นาย บรรจง ภาหวาย หัวหน้า หมวดการทางโป่งปะ กล่าวว่า เสาคอนกรีตเป็นทรัพย์สินของกรมป่าไม้ และไม่ทราบว่าเสาคอนกรีตต้นนั้นจะอยู่ในแนวการก่อสร้างถนนหรือไม่ ถ้าอยู่คงต้องมีการรื้อถอน หรือขยับให้พ้นแนวสร้างทาง จากการสอบถามเจ้าหน้าที่บริษัทก่อสร้างทาง เบื้องต้นได้รับแจ้งว่า ขณะนี้ทางบริษัทก่อสร้างทาง ได้ติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทราบว่า ทางหน่วยงานป่าไม้หรืออุทยานฯ กำลังดำเนินการหาจุดพิกัด ในการโยกย้ายเสาดังกล่าว ขยับให้พ้นเขตการก่อสร้าง คงไม่มีการทุบทิ้ง ถ้าทุบทิ้งคงเสียดายไม่น้อยDSC_0502

สำหรับอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอวังทองอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอหล่มสัก อำเภอเมือง อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 1,262.55 ตารางกิโลเมตร หรือ 789,000 ไร่ ได้ประกาศจัดตั้งเป็น “อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง” เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2506

 

 

แสดงความคิดเห็น