ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมีการบุกรุกแผ้วถางป่าในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ และเขตป่าอุทยาน ในพื้นที่ จ.พิษณุโลก โดยมีนายทุนใหญ่เข้าไปหาผลประโยชน์ จากการปลูกยาพารา ตลอดทั้งยึดเป็นของตนเอง ทั้งในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร และบนภูเขาสูง จนขณะนี้มีผลกระทบทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะต้นน้ำลำธาร ที่ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก จนเกิดปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมไหลหลากเป็นประจำทุกปี จนก่อให้เกิดความเสียหายทางทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพย์สินและชีวิตของผู้คนทั่วไป สาเหตุหลักมาจากการตัดไม้ทำลายป่าอย่างหนักในขณะนี้ จนพื้นที่ป่าเหลือไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ
ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอำเภอนครไทย อ.ชาติตระการ อำเภอวังทอง อ.เนินมะปราง และอ.วัดโบสถ์ เป็นแหล่งพันธุ์ไม่นานาชนิด แต่ขณะนี้ปรากฏว่ามีนายทุนเข้าไปบุกรุกแผ้วถางเผาป่าได้รับความเสียหายนับแสนไร่ โดยนำพื้นที่ไปปลูกยางพารา มีการใช้เครื่องมือ เครื่องยนต์หนักบุกไถ่จนผืนป่าเสียหายยับ การจับกุมของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีเพียงเข้าไปตรวจสอบ ตรวจยึดตามหน้าที่ แต่การขยายผลจับกุมผู้อยู่เบื้องหลัง หรือผู้มีอิทธิพลกลับสาวไม่ถึง ทั้งที่ทราบว่ามีใครเป็นผู้บงการ ทุกครั้งที่มีการจับกุมได้แต่เพียงผู้รับจ้าง ส่วนนายทุนไม่เคยถูกจับ ทำให้ประชาชนมองเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังไม่เอาจริงเอาจัง แต่ทำไปด้วยหน้าที่เท่านั้น บางครั้งอาจจะมีบางสิ่งบางอย่าง จนทำให้นายทุนเหิมได้ใจไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง เพราะไม่เคยถูกจับกุม การทำงานของเจ้าหน้าที่บ้านประชาชนมองเห็นเหมือนเล่นปาหี่ ทำงานเหมือนผักชีโรยหน้า หรือทำงานแบบขอไปวันๆ เพราะหน้าที่บังคับ จึงทำให้ป่าหมดลงไปทุกวัน อีกไม่เกิน 10 ปี ป่าในเมืองไทยจะเหลือไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์
ด้วยเหตุผลสำคัญยิ่ง ดังนั้น พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก. ผู้กำบังเหียนใหญ่ตำรวจพิษณุโลก ได้ตระหนักถึงความสำคัญของผืนป่าที่ถูกบุกรุก ได้เปิดยุทธการ “ ทวงคืนผืนป่าให้แผ่นดิน ” โดยได้ร่วมกับฝ่ายปกครองจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีนายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ. เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนให้สัมฤทธิ์ผล ซึ่งเป็นการทำงานแบบบูรณาการ โดยจะเริ่มปฏิบัติเอาจริงตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อจับกุมผู้กระทำผิดทุกรายที่รุกผืนป่าของชาติมาลงโทษตามกฎหมายอย่างหนัก เพื่อให้ผืนป่ากลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง
โดยสามารถแจ้งเบาะแสผ่านศูนย์ 191 หรือ e-mail [email protected]