เวลา 09.00 น. วันที่ 21 มกราคม 2556 ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 6โรงแรมเรือนแพรอยัลพาร์ค จังหวัดพิษณุโลก นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นประธานเปิดสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 ระยะที่ 1 กรุงเทพ – พิษณุโลก โครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เพื่อแนะนำโครงการ ชี้แจงข้อมูลรายละเอียดโครงการ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากหน่วยงานราชการ กลุ่มผู้นำทางด้านความคิด ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการ ตลอดจนตัวแทนภาคประชาชนและสื่อมวลชน ในพื้นที่ จ.ลพบุรี จ.ชัยนาท จ.นครสวรรค์ จ.พิจิตร และ จ.พิษณุโลก เข้าร่วมจำนวนกว่า 300 คน เพื่อ สนข.จะได้นำความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่ได้รับมาประกอบการตัดสินใจในการสร้าง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า รัฐบาลได้เร่งรัดพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและการขนส่ง ให้เชื่อมโยงโครงข่ายภูมิภาคอาเซียน โดยกำหนดเส้นทางไว้4 เส้นทาง คือ เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กรุงเทพฯ-หัวหิน และส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตเรลลิงค์สุวรรณภูมิ – ชลบุรี -พัทยา ซึ่งดำเนินงานโดยกระทรวงคมนาคม และมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ดำเนินการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพ – เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพ – พิษณุโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทางเลือกในการเดินทางของประชาชน การขนส่งสินค้าที่ประหยัด รวดเร็ว ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
นายจุฬากล่าวว่า การระดมความคิดเห็นครั้งนี้เพื่อรับทราบความต้องการของประชาชน ซึ่ง จ.พิษณุโลก เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นจุดในการดึงนักลงทุนในการเข้ามาในพื้นที่ เป็นเมืองรองๆ จากกรุงเทพมหานคร ที่เป็นเป้าหมายของการขยายการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต เป็นการตอบสนองนโยบายในการทำให้พิษณุโลกเป็นเมืองบริการศูนย์กลางสี่แยกอินโดจีน สำหรับในเรื่องวิศวกรรมการออกแบบไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเลือกจุดตั้งสถานีรถไฟต้องมีการคำนึงถึงหลายเรื่อง เพราะรถไฟความเร็วสูงคือเป็นการบริการด้านการใช้ความรวดเร็ว ระบบการจราจรเป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่เส้นทางรถไฟจะต้องมีการสร้างเพิ่มบนแนวเส้นทางเดิมที่การรถไฟได้กันไว้แล้วสองข้างทางจำนวน 80 เมตร ขณะที่ความเร็วในการแล่นของรถไฟความเร็วสูงกำหนดไว้อยู่ที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจต้องมีการเวนคืนพื้นที่ การสร้างรั้วกั้นแนวรถไฟความเร็วสูงโดยเฉพาะ บางจุดอาจต้องมีการสร้างสะพานยกระดับสูงขึ้น และทางลอดลงอุโมงค์ใต้ติด ซึ่งเป็นรายละเอียดในการศึกษาระยะต่อไป
นายสาธิต มา ลัยธรรม รองผู้จัดการโครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้มีการจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) จำนวน 3 สายทาง ประกอบด้วย สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-หัวหิน ล่าสุดได้กำหนดแนวเส้นทางที่เหมาะสม เพื่อออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้เขตทางรถไฟเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงการเวนคืนที่ดินให้น้อยที่สุด เช่น อยู่ในพื้นที่ชุมชนเมือง ใกล้สถานีประวัติศาสตร์ เป็นต้น รวมทั้งเพื่อเป็นการหาพื้นที่โดยรอบสถานีให้เพียงพอต่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์สำหรับนำรายได้ส่วนนี้มาหล่อเลี้ยงกิจการเดินรถไฟ เหมือนกับรูปแบบในประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
นายสาธิตกล่าวว่า สำหรับรูปแบบที่จะนำมาใช้ในการศึกษารถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย ทางคณะได้ศึกษารูปแบบจากหลายประเทศ โดยต้นแบบมาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งใช้รถไฟความเร็วสูงมานานกว่า 50-60 ปีมาแล้ว จากนั้นได้ศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ เกาหลีและจีน โดยประเทศจีนเริ่มมีรถไฟความเร็วสูงใช้เมื่อ 10 ปีนี้เอง ในเชิงพาณิชย์รถไฟความเร็วสูงจะต้องวิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะคู่แข่งของรถไฟความเร็วสูงคือ เครื่องบิน โดยเฉพาะเครื่องบินโลคอส ซึ่งเส้นทางที่มีความยาว 600 กิโลเมตร รถไฟความเร็วสูงยังมีศักยภาพในการแข่งขันได้ แต่หากระยะทางเกินกว่า 600 กิโลเมตร ไปเครื่องบินยังได้เปรียบ ขณะที่อัตราค่าโดยสาร จากกรุงเทพฯ3 –พิษณุโลก ประเมินไว้ในเบื้องต้น อยู่ที่ 1,000-1,200 บาท /คน เมื่อเทียบอัตราค่าโดยสารเครื่องบินจากกรุงเทพฯ-พิษณุโลก จะอยู่ที่อัตรา 2,000 บาท ขระที่กรุงเทพฯ- เชียงใหม่ อัตราค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงอยู่ที่ 1,700-2,100 บาท เทียบกับการโดยสารโดยเครื่องบินอยู่ที่ 2,200-3,000 บาท ซึ่งค่าโดยสารถูกเกือบครึ่ง นับว่ารถไฟความเร็วสูงได้เปรียบด้านการตัดสินใจใช้บริการ ขณะที่การเดินทางใช้เวลาจากบ้านถึงที่หมาย จ.พิษณุโลกประมาณ 2 ชั่วโมง หรือเชียงใหม่ 4 เชียงใหม่ ก็เท่านั้น
“สำหรับสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ จะใช้แนวรถไฟสายเหนือ แต่จะสร้างช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลกก่อนเป็นลำดับแรก ระยะทางประมาณ 382 กิโลเมตร เนื่องจากช่วงตั้งแต่พิษณุโลก-เชียงใหม่ เส้นทางจะผ่านพื้นที่ภูเขาและคดเคี้ยว จะต้องเจาะอุโมงค์เพื่อให้เส้นทางตรงจำเป็นต้องจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเม็ดเงินที่จะนำมาลงทุน ในโครงการรถไฟความเร็วสูงจัดอยู่ในแผนการลงทุนของรัฐบาล ภายใต้ พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท จึงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินที่จะนำมาก่อสร้าง ซึ่งในกรอบวงเงินเดิมที่เคยประเมินไว้ โดยรวมทั้ง 4 สายในเฟสแรกประมาณ 372,271 ล้านบาท แยกเป็นสายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก วงเงิน 121,014 ล้านบาท สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา วงเงิน 96,826 ล้านบาท สายกรุงเทพฯ-หัวหิน วงเงิน 82,166 ล้านบาท และสายกรุงเทพฯ-ระยอง วงเงิน 72,265 ล้านบาท”
ด้าน ดร.ดุษฎี สถิรเศรษฐทวี อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า มองว่า จ.พิษณุโลก ต้องการเป็นเมืองศูนย์กลางสี่แยกอินโดจีน รถไฟความเร็วสูง จะส่งผลให้ จ.พิษณุโลกเป็นฮับในภูมิภาคนี้ เป็นฮับในการกระจายการเจริญเติบโตสู่เมืองข้างเคียง นับเป็นโอกาสสำคัญของจังหวัด เพราะนอกจากความเจริญการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ด้านสังคมน่าจะดีขึ้นเพราะการเดินทางที่สะดวก คนทำงานกลับบ้านบ่อย ก็ทำให้เกิดความใกล้ชิดของคนในครอบครัวมีมากขึ้น ส่วนด้านการขนส่งสินค้ารถไฟความเร็วสูงจะสามารถใช้ขนส่งสินค้าที่เบา และมีมูลค่าสูง และต้องการความรวดเร็วในการขนส่งมากกว่า
ขณะที่ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนชาว จ.พิษณุโลก สนับสนุนให้เกิดรถไฟความเร็วสูงขึ้นโดยเร็ว แต่ก็อยากฝากถึงรัฐบาลพิจารณาในเรื่องผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน ให้ถือว่าผู้ถูกเวนคืนที่ดินคือผู้เสียสละควรได้รับค่าเวนคืนที่เหมาะสม อยากให้พิจารณาให้คนจน คนด้อยโอกาสได้มีโอกาสใช้รถไฟความเร็วสูง ไม่ใช้สร้างรถไฟความเร็วสูงขึ้นมาเพื่อคนมีฐานทางการเงินสูงเท่านั้น ควรพิจารณาอัตราค่าโดยสารไม่สูงเกินไปนัก ฝากเรื่องการแก้ไขระบบขนส่งมวลชนและนโยบายนอกเหนือคือเส้นทางจากภาคเหนือสู่ภาคอีสานด้วย
อย่างไรก็ตาม การระดมความคิดเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงการ ซึ่งจากนี้ระยะเวลา 14 เดือนจะทำการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม และสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากนั้นจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปลายปี 2556 ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างอีก 50 เดือน หากเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ก็คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงได้ในปลายปี 2561