วันที่ 23 ธันวาคม 2555 ที่ตลาดร่วมใจ อ.เมือง พิษณุโลก ผู้สื่อข่าวรายงาน ราคาเนื้อวัวและเนื้อโค ราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากระดับราคากิโลกรัมละ 100 บาทเศษๆช่วงต้นและกลางปี 2555 ได้ทยอยปรับตัวเรื่อยๆ จนล่าสุดกิโลกรัมละ 220 บาท สร้างความเดือดร้อนกับบรรดาแม่ค้าที่ถูกลูกค้าบ่นว่าแพง
และร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสดมักบอกว่าเนื้อหมดหรือให้ก็มีเพียงเศษเนื้อที่น้อยมาก ขณะที่กระแสข่าวสารเร่งเนื้อแดงในวัวนั้น ถือว่าไม่มีผลกับการตัดสินใจกับผู้ซื้อเนื้อวัว ทั้งนี้หลายคนทราบดีว่าเนื้อวัวสีแดงๆที่ตลาดพิษณุโลกล้วนเป็น เนื้อควาย ไม่ใช่เนื้อวัว
นางชุติมา ประทานชัย แม่ค้าขายเนื้อในตลาดสดร่วมใจ เปิดเผยว่าปริมาณเนื้อวัวชำแหละที่จำหน่ายตามแผงตลาดสดหลายแห่งในเมืองพิษณุโลกลดน้อยลง จากเดิมที่หมุนเวียนขายอยู่วันละ 1,000 กิโลกรัม
ปัจจุบันพอมีให้ขายอยู่ประมาณ 200 กิโลกรัม เรียกให้ว่า ขาดแคลน มีวัวหรือควายให้เชือดเพียงวันละ 2 ตัวเท่านั้น หากปล่อยมาเชือดมากก็เรียกได้ว่า ขาดทุนเพิ่ม
นายอนุชา น้อยวงศ์ สจ.เขตอำเภอเนินมะปราง จ.พิษณุโลก เจ้าของอมาณัติฟาร์ม ผู้เลี้ยงปศุสัตว์รายให้ญ่ที่สุด จ.พิษณุโลก ม.5 ต.อรัญญิก อ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยถึงสาเหตุที่ราคาเนื้อวัวปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ราคาจะไปยืนอยู่ที่ระดับราคา 300 บาทในระยะเวลาอีก 1-2 ปี ข้างหน้า เหตุผลหลักๆ คือ ราคาเนื้อวัวที่ประเทศจีน กิโลกรัมละ 350บาท จากเดิมต้องยอมรับว่า ประเทศไทยซื้อวัวและควายจากประเทศพม่าแต่ปัจจุบันเริ่มมีปริมาณน้อยลง ขณะที่ประเทศลาว กัมพูชาเวียดนามและประเทศจีนถือว่าประเทศพัฒนาประเทศไปมากจนไม่มีใครเลี้ยงวัวควาย ทำให้ประเทศดังกล่าว กวาดต้อนและซื้อวัวควายจากพม่าตามชายแดนไทย-พม่า(อ.แม่สอด)โดยผ่านประเทศไทย ส่งไปต่างประเทศด้านจ.สระแก้ว
ปัญหาก็คือ พ่อค้าคนไทยไม่มีเงินทุนพอซื้อวัวและควายที่ราคาสูงขึ้นถึงตัวละ 4-5 หมื่นบาท
ปล่อยให้ต่างชาติกว้านซื้อต่อเนื่องเพราะความต้องการของผู้บริโภคจีนและเวียดนามสูง ทำให้เนื้อวัว
ควายในประเทศไทยขาดแคลนทุกรัฐบาลไม่เคยสนใจ ด้านปศุสัตว์เนื้อวัวและควาย ปล่อยมีการขนวัว
ควายแบบเถื่อนๆ ข้ามชายแดน โดยไม่สนใจผิดกับไก่ชนที่ห้ามเด็ดขาดและมีการจับกุม ทราบว่า การหลับหูหลับตาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับเงินใต้โต๊ะถึงตัวละ1,250 บาทต่อตัว หากปล่อยข้ามแดนไปต่างประเทศจีนหรือเวียดนาม
กรมปศุสัตว์ไม่เคยสนใจ พัฒนาและส่งเสริม ฟาร์มวัวและโคในประเทศ ผมเรียกร้องให้รัฐบาล”ระงับการส่งออกวัวและควาย” หรือหากส่งออกจริงๆ ต้องนำระเบียบปฏิบัติการส่งออกกลับมาใช้ เพราะการส่งออกวัวและควายทุกคนต้องเป็นฟาร์มเท่านั้น ต้องมีพ่อและแม่พันธุ์ในฟาร์มถึงจะส่งออกได้วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้วัวและควายไทยสูญพันธุ์ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลลืมไปว่า ครั้งนั้นไทยเคยมีวัวและควายประมาณ 30ล้านตัวไม่น่าสูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันนี้มีวัวและควายทั่วประเทศไทยเหลือเพียง 300,000 ตัวเท่านั้น
ณ.วันนี้ ผมมีสายพันธ์ควายตัวใหญ่ หรือ พญาควายแต่กรมปศุสัตว์ก็ไม่เคยสนใจ มีเพียงแค่
ม.จุฬาลงกรณ์ที่ให้ความสนใจเอาน้ำเชื้อไปแพร่พันธุ์ นอกจากนี้ ฟาร์มของตนยังมี ควาย ไม่มีเขา แห่งเดียวในโลก นับ 10 ตัวและควายเผือกที่นับวันจะหายาก หลายประเภทกำลังจะสูญพันธุ์ในไม่ช้าหากรัฐบาลเพิกเฉย ปล่อยให้ประชาชนบริโภค สินค้าแบบมีสารเร่งเนื้อแดงจนฮฮร์โมนเพศของคนผิดเพี้ยน
ปัจจุบันวัวและโคมีอายุ 2 ปีเศษๆก็เชือดกันแล้วทั้งๆที่วัวและควายมีอายุยาวถึง 30 ปี เมื่อรัฐบาลไม่ส่งเสริมหรือแก้ไขคงต้องปล่อยให้ราคาเนื้อวัวแพงแพงต่อเนื่อง อีกไม่นานสุนัขหรือหมาที่ส่งออกไปขายต่างประเทศ คนไทยอาจต้องได้กิน เพราะทุกวันนี้คนจีนบ่นว่า เนื้อแพง ทำให้เนื้อสุนัขเลยจึงเป็นที่นิยม
นายอนุชา น้อยวงศ์ สจ.เขตอำเภอเนินมะปราง ย้ำอีกว่าถ้ารัฐบาลมีการส่งเสริมเลี้ยงปสุสัตว์อย่างจริงจัง
การเผาฟางข้าวทั่วประเทศก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะวัวและควายจะใช้บริโภคเป็นอาหารหลัก ณ วันนี้ ผมต้องไปแปลงนาข้าวเพื่อเอาฟางข้าวยัดเป็นก้อนไว้สำหรับเป็นอาหารวัว ควาย ถือว่าเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติ โดยไม่มีสารเร่งเนื้อแดงใดๆ แต่ ณ วันนี้รัฐบาลไม่สนใจเรื่องวัวและควาย อีกไม่นานควายพันธุ์ดี อาจถึงขึ้นสูญพันธ์เพราะไม่ส่งเสริมและอนุรักษ์สายพันธ์ ปล่อยส่งขายต่างประเทศแบบเถื่อนๆไม่สนใจว่าว่า เขาทำธุรกิจฟาร์มหรือไม่ส่วนในตลาดเนื้อคนไทยก็บริโภคเนื้อวัวอายุน้อยเพียง 2ปีก็ ส่งโรงเชือดแล้ว ถือว่า เสี่ยงต่อการใช้สารเร่งเนื้อแดงทั้งที่อายุวัว ควายมีอายุถึง 30 ปี
———————————————-