เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 3 ต.ค.ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถามความคืบหน้ากรณีที่ นางโสภา โป๊ะขุนทอง อายุ 34 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก คลอดลูกออกมาเป็นฝาแฝดเพศหญิงที่มีหน้าท้องติดกัน หรือเรียกว่าแฝดสยาม ที่โรงพยาบาลพุทธชินราชเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางคณะแพทย์ ได้ส่งตัว ด.ญ.สุจิตรา โป๊ะขุนทอง หรือ น้องโอบอุ้ม และ ด.ญ.สุมิฌา โป๊ะขุนทอง หรือ น้องโอบอ้อม แฝดสยามเพศหญิง ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อพักฟื้นร่างกายและรอผลสรุปว่าร่างกายของเด็กทั้งสองคนมีอวัยวะภายในที่ใช้ร่วมกันบ้างเพื่อจะเร่งทำการผ่าตัดแยกทั้งสองออกจากกัน
ซึ่งบ้านพักพบกับนางโสภา มารดาของเด็กแฝดสยาม กำลังใช้เครื่องปั้มน้ำนม เพื่อเก็บในถุงพลาสติกแลคซีนและเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นเพื่อที่จะส่งต่อไปให้ลูกสาวแฝดสยามทั้งสองคนที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมกับเปิดเผยกับผู้สื่อว่าหลังจากที่ตนเองออกมาจากโรงพยาบาลพุทธชินราชเพื่อพักฟื้นร่างกายที่บ้านพักเพราะตอนนี้แผลจากการผ่าตัดก็ยังเจ็บอยู่ยังไม่สามารถเดินเหินได้ตามปกติ ช่วงนี้ตนเองก็ได้ซื้อเครื่องปั้มน้ำนมมาปั้มนมเก็บไว้ให้ลูกสาวทั้งสองคนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อช่วงเช้าวันนี้( 3 ต.ค.) นายเวียง สามีของตนเองได้เดินทางเข้ากรุงเทพ เพื่อไปรับฟังการวินิจฉัยของแพทย์โรงพยาบาลศิริราชในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ว่าจำทำการช่วยเหลือลูกของตนเองอย่างไร พร้อมกับได้นำน้ำนมที่ตนเองปั้มเก็บไว้จำนวน 2 ขวดเล็กๆไปให้ลูกทั้งสองด้วย เพื่อที่เด็กทั้งสองจะได้มีภูมิต้านทานและแข็งแรง เพราะสารอาหารในน้ำแม่นั้นมีประโยชน์มาก แต่ตนเองคิดว่านมสองขวดที่ปั้มออกมาได้นี้ไม่เพียงพอให้แก่ลูกทั้งสองคนแน่ เพราะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมานี้ตนอยู่ในสภาวะที่เครียดเป็นห่วงลูกสาวทั้งสองคน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตน้ำนมออกมาได้อย่างเต็มที่ และช่วงนี้ตนเองพยายามนอนหลับพักผ่อนให้มาก และกินอาหารที่มีประโยชน์ ที่สามารถกระตุ้นการสร้างน้ำนมอย่างเช่น หัวปลีกล้วย ขิงอ่อน และอาหารที่มีประโยชน์เพื่อจะเร่งปั้มน้ำนมส่งไปให้ลูกสาวทั้งสองคนโดยเร็วที่สุด
นางโสภา กล่าวอีกว่า หลังจากที่ตนเองพักฟื้นจนร่างกายแข็งแรงและไม่เจ็บแผลที่ผ่าตัดแล้วตนเองก็จะไปอยู่กับลูกสาวทั้งสองคนที่โรงพยาบาลศิริราชอย่างใกล้ชิด เพราะตั้งแต่ลูกคลอดออกมาตนยังไม่เคยเห็นหน้าลูกทั้งสองเลยเห็นแต่รูปถ่ายที่พยาบาลถ่ายมาให้ดู ตนเองอยากไปดูหน้าลูกอยากกอดลูก ในช่วงนี้ตอนเองก็ได้เตรียมผ้าอ้อมเด็กไว้กับลูกสาวทั้งสองคนไว้แล้ว ซึ่งหากเข้ากรุงเทพก็จะนำไปให้ลูกทั้งสองคน โดยในตอนนี้ตนเองมีความกังวนเรื่องถ้าแพทย์จะทำการผ่าตัดและให้เลือกลูกคนใดคนหนึ่งตนเองกลัวทำใจไม่ได้ที่จะต้องเสียลูกสาวคนใดคนหนึ่งไป อยากให้ทางแพทย์ช่วยเหลือลูกสาวทั้งสองอย่างเต็มที่
ต่อมา นางอรนุช ชัยชาญ นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พิษณุโลก ได้เดินทางไปเยี่ยมครอบครัวนางโสภา โป๊ะขุนทอง พร้อมแจ้งเรื่องที่สำนักงานจะช่วยเหลือครอบครัวของเด็กแฝดสยามนี้ คือตอนนี้ได้ทำเรื่องส่งไปยังคณะกรรมกองทุนคุ้มครองเด็ก ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธาน เพื่อจะนำเงินกองทุนมาช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว ซึ่งจะครอบคลุมไปถึง เรื่องค่ารักษาพยาบาล ค่ายานพาหนะในการเดินทางไปรักษาตัว ทุนประกอบอาชีพของผู้ปกครอง ทุนการศึกษาของบุตรทั้งหมดในครอบครัว ซึ่งเงินส่วนนี้ก็จะสามารถช่วยเหลือได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ไม่เดือดร้อนในการเสียเงินค่าส่วนต่างอีกด้วย
////////////////