เวลา 09.40 น. วันที่ 14 กันยายน 2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะออกเดินทางไป ตรวจสอบโรงสีข้าว ส.ธนวัฒน์พืชผล อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก โดยมีชาวนาสาธิต ขั้นตอนการจำนำข้าวตั้งแต่จอดรถบรรทุกข้าวเปลือก ขับเข้าไปตราชั่งน้ำหนักรถบรรทุกข้าวเปลือก ตามขั้นตอนรับจำนำข้าวเปลือก ยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อเข้าร่วมโครงการรับจำนำ พร้อมมีหนังสือรับรองเกษตรกร สุ่มเก็บตัวอย่างข้าวเปลือก ตรวจสอบความชื้นและสิ่งเจือปนของข้าวเปลือก จัดทาเอกสารใบรับฝาก กระทั่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมอบใบประทวนสินค้าให้แก่เกษตรกร อ.บางระกำ จ.พิษณุโลกจำนวน 10 ราย ซึ่งครั้งนี้ มีชาวนาบางระกำ 1 ใน 10 รายขายข้าวได้สูงสุด 12,600 บาทต่อตัน
แต่ระหว่างที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวกับ ชาวบางระกำนั่งเต็นท์ต้อนรับกว่า 500 คน ถึงข้อดีของการรับจำนาข้าว ทันใดนั้น นางปราณี พูนสวัสดิ์ อายุ 53 ปี บ้านเลขที่ 106/1 หมู่ 1 ต.ปลักแรด อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ลุกขึ้นถามนายกรัฐมนตรี ว่า ตนเลี้ยงเป็ดน้ำท่วมเสียหายไป 2 ล้านบาท แต่กลับถูกเทศบาลตำบลบึงระมาณ อ.บางระกำ เรียกเก็บภาษี ถึง 8 หมื่นบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเสียภาษีแค่ 1.8 หมื่นบาท ถามว่า ทำไมเก็บภาษีแพงนัก อยากให้ทางรัฐบาลช่วยเหลือเกี่ยวกับการขูดรีดภาษีที่สูงเกินจริงด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกฯต้องเรียบไปกันตัว
จากนั้น นายบุญชู ศรีบัว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ต.ปลักแรด อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก รีบคว้าไมค์ กล่าวชื่นชมว่าโครงการรับจำนำ กับประกันรายได้ ตนมองว่า การรับจำนำข้าวดีกว่ามาก ผลประโยชน์เกินขึ้นกับประชาชน แม้ว่าข้าวจะขายไม่ได้ถึง 15,000 บาท/ตัน แต่ส่วนใหญ่จะได้เกินตันละหมื่นกว่าบาท ซึ่งตนก็พอใจแล้ว 
หลังจากนั้น นายกเทศมนตรีบึงระมาณ และนายกเทศมนตรีปลักแรด พร้อมนายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกพร้อม น.ส.ศันสนีย์ นาคพงษ์ โฆษกรัฐบาลต่างรีบมาสอบถามสาเหตุถึงนางปราณี เสียภาษีอะไรถึงแปดหมื่นบาท ซึ่ง น.ส.ศันนีย์ นาคพงษ์ บอกเพียงว่า เป็นเรื่องของท้องถิ่น ไม่ใช่รัฐบาล
นางปราณี พูนสวัสดิ์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 106/1 หมู่ 4 ต.ปรักแรต เปิดเผยว่า ตนเลี้ยงเป็ดจำนวน 5 หมื่นตัว แต่ปีที่ผ่านมา น้ำท่วม เป็ดล้มตาย เสียหายไปร่วม 2 ล้านบาท แต่สงสัยว่า ทำไม ทางเทศบาลปบึงระมาณ ถึงเรียกเก็บภาษี 83,000บาท ซึ่งเมื่อเดือนที่ผ่านมาตนนำเงินไปจ่ายแล้ว 3 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือให้ทาง เทศบาลบึงระมาณ ไปฟ้องร้องเพื่อเรียกเงินภาษีจากตนเอง เพราะชาวบ้านอย่างเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ยิ่งหากเทียบกับปีที่ผ่านมา มีการเรียกเก็บภาษีเพียงแค่ 1.8 หมื่นบาท สงสัยว่า ทำไมเก็บภาษีแพงนัก ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ตนมีใบแจ้งหนี้ทวงค่าภาษีจากท้องถิ่น 8.3หมื่นบาทจริง แต่อยากให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือ เพื่อความเป็นธรรม ก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับได้มอบไข่เค็มเป็นของฝากให้ นายกรัฐมนตรี 1 กล่องใหญ่ด้วย
จากนั้น น. ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจโกดังรับจำนำข้าวที่ อ.วัดโบสถ์แทน เนื่องจากคลังเก็บข้าวที่ PK Rice และ โกดังข้าว ที่อ.วัดโบสถ์ ชื่อ เกษตรไพศาลธัญกิจ มีจำนวนน้อย จากนั้นเดินทางรับประทานข้าวเที่ยง ก่อนขึ้นเครื่องบินที่สนามบินกองบิน 46 ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. มุ่งหน้าลงภาคใต้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ น. ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมบรรยายสรุปคดีเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า เกษตรกรที่ร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีรายได้จากการขายข้าวเพิ่มขึ้นกว่า 200,224 ล้านบาท จากปริมาณข้าวที่รับจำนำ คือ ข้าวหอมมะลิ 3,087 ตัน ราคาตันละ 20,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 15,118 ตัน ราคาตันละ 14,800 ตัน ที่ผ่านมาตรวจสอบโรงสีทั่วประเทศ 298 แห่งจาก 1,330 แห่ง พบว่า 9จังหวัด คือ กาญจนบุรี นครนายก นครปฐม กำแพงเพชร นครสวรรค์ พัทลุง อ่างทอง พิษณุโลก อุดรธานี ได้ส่งDSI ลงไปดำเนินคดี พบว่า ที่จังหวัดอุดรธานี พบปัญหาการทุจริตหักสิ่งเจือปนสูง ตรวจสอบและคืนเงินจำนวน 4 ล้านบาทแก่เกษตรกร 1,400 ราย ที่จ.อ่างทอง จ.พิษณุโลก พบทุจริตช่างตวงวัดตามพ.ร.บ. ค้าข้าว และการขึ้นทะเบียนเกษตรกรไม่ตรงข้อเท็จจริง ส่วนที่ จ.กาญจนบุรี มีโรงสี เกี่ยวข้อง 21 แห่ง จาก 1,330 แห่ง คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ1 เท่านั้น
สำหรับที่ จ.กาญจนบุรี ทางคณะกรรมการตรวจสอบแห่งชาติพบว่า สวมสิทธิ โดยมีผู้นำท้องถิ่น ร่วมดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีเกษตรกรสารภาพแล้ว 10 ราย ส่วน จ.นครนายก สวมสิทธิจากน้ำท่วม มีภรรยาข้าราชการตำรวจเป็นหัวโจก มีนายหน้าออกไปชักชวนเกษตรกรในการสวมสิทธิ โดยให้ค่าจ้างเกษตรกรรายละ 500-1,000 บาท ที่ จ.เพชรบูรณ์เป็นคดีที่สื่อมวลให้ความสนใจ พฤติกรรมของโรงสีมานะยิ่งเจริญดีแอบอ้างโครงการรับจำนำ ฉ้อโกงเกษตรกรจำนวน 162 ราย เป็นเงิน 21.5 ล้านบาทล่าสุดกำลังเร่งดำเนินการทางคดีแล้ว