ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุการณ์แผ่นดินลุกเป็นไฟที่บ้านเนินตะโพน ม.9 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ได้รับความสนใจจากคนทั่วไปในวงกว้าง ว่าเป็นเหตุการณ์อะไรกันแน่ ทั้งคนพิษณุโลกและทั่วประเทศ ต่างจับตามองกันว่า จะเป็นจุดบ่งบอกถึงภัยธรรมชาติใต้ดินที่รุนแรงหรือไม่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มลงสำรวจในพื้นที่ และได้ผลสรุปเบื้องต้นในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแนวเลื่อนของแผ่นดินไหว ไม่ใช่ความร้อนจากใต้ภิภพที่ก่อให้เกิดลาวา แต่เป็นการสันดาษของการสะสมของเศษขี่เลื่อย เศษถ่าน ที่สะสมกันมาร่วม 30 ปีแล้ว และเกิดการสันดาปก่อให้เกิดก๊าซที่ติดไฟได้ เป็นธรรมชาติของลักษณะการเผาไหม้คล้ายกับไฟไหม้ป่าพรุ ทำให้อาการตื่นตระหนกของสังคมเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี เมือประชาชนที่บริโภคข่าวสารได้รับข้อมูลรอบด้าน
แผ่นดินลุกเป็นไฟได้รับความสนใจจากชาวอ.นครไทยตั้งแต่ช่วงวันที่ 23-24 เมษายน 2555 เมื่อเนินดินย่อม ๆ กลางทุ่งนา ริมถนนสายบ้านแยก-นครไทย ม.9 บ้านเนตะโพน ต.หนองกะท้าว เป็นจุดที่มีความร้อนสูงมาก และมีควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อนำเศษกระดาษ หรือ ใบไม้แห้ง วางลงไปบนผิวทราย ก็จะลุกไหม้ติดไฟขึ้นมา กระแสบอกต่อแบบปากต่อปากและกระจายข่าวโทรศัพท์มือถือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ การนำเสนอของทุกสื่อทุกแขนง เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น ชาวอำเภอนครไทยต่างแห่กันมาดูปรากฏการณ์ประหลาด แผ่นดินลุกเป็นไฟ หรือ หลุมไฟกันอย่างต่อเนื่อง และต่างต้องการพิสูจน์ทราบว่า เกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น จะเป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหน ในช่วงวันแรก ๆ ที่ชาวบ้านแตกตื่น ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้
กระทั่งเย็นวันที่ 24 เมายน ต่อเนื่องจนถึงเช้าวันที่ 25 เมษายน 2555 นายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล นายอำเภอนครไทย พร้อมหน่วยงานฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย และอบต.หนองกะท้าวได้ไปสำรวจในพื้นที่ และพบว่า พื้นที่ดังกล่าว มีความร้อนสูงอยู่ใต้ดิน มีการเผาไหม้อยู่ใต้ดิน เมื่อนำไม้ไปคุ้ยเขี่ยบริเวณปล่องที่ควันไฟพวยพุ่งออกมา ก็จะว่ามีความร้อนสูงมาก นำเศษกระดาษ หรือกระสอบป่านแหย่ลงไปก็ติดไฟลุกพรึบ ทางอำเภอ จึงนำเชือกกั้นรอบพื้นที่ไว้ ไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้ เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตราย
ขณะที่ นางณัชชา แสงสิริ ผู้ใหญ่บ้านม.9 บ้านโนนตะโพน ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว เดิมพื้นที่แถบนี้เคยเป็นที่ตั้งของเตาเผาถ่านจำนวน 3 เตา ที่ตั้งอยู่กับโรงเรื่อยแสงสิริ ที่รับสัมปทานตัดไม้ในเขตอ.นครไทย จะรับไม้จากโรงเรื่อยมาเผาถ่านบริเวณนี้ แต่โรงเรื่อยและเตาเผาถ่านได้เลิกกิจการไปแล้วได้ 30 ปี และสภาพจากนั้นก็กลายเป็นที่นา ปัจจุบันที่นาของร้านทองแม่บัวเขียว ที่ซื้อต่อจากบ้าน สภาพเดิมเป็นทุ่งนา แต่อดีต บริเวณนี้ น้ำท่วมตลอดทุกปี ทำให้ดินตะกอนทับถมมาเรื่อย ๆ
นางณัชชา เผยต่อว่า เหตุการณ์ ไฟลุกระอุเกิดขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นายละเอียด ทองสน ลูกบ้านหมู่ 9 ได้เดินจากแม่น้ำแควน้อยมาตามทางเดินลัดทุ่งนาตามปกติ เมื่อมาถึงจุดดังกล่าว ชั้นดินได้ทรุดลงไป และถูกไฟลวกขาได้รับบาดเจ็บ ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2555 นายชาตรี บุญฤทธิ์ เจ้าของหจก.ชาตรีบุญฤทธิ์ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างโรงรีดสังกะสี ก็ได้รับบาดเจ็บถูกไฟลวกอีก 1 ราย เมื่อเดินไปช่วยสุนัขที่ติดอยู่ในบริเวณดังกล่าว ขณะที่รายงานแจ้งว่า มีสุนัขที่เดินลงไปบริเวณดังกล่าว ได้ถูกไหมไหม้เสียชีวิตไปแล้ว 4 ตัว โดยยังมีซากสุนัขที่ถูกไฟไหม้ให้เห็น ขณะที่การแตกตื่นของชาวบ้านนครไทยกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เริ่มแตกตื่นกันเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา
และเมื่อสื่อมวลชนทุกแขนงพร้อมใจกันนำเสนอข่าวปรากฏการณ์หลุมไฟ ปรากฏการณ์แผ่นดินลุกเป็นไฟ ยิ่งทำให้ประชาชนตื่นตัวอยากมาดูกันมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะประเด็นที่เชื่อมโยงกับลอยเลื่อนน้ำปาด ที่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันนั้น ทำให้ประชาชนยิ่งตื่นตระหนัก นายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล ได้นำรถดับเพลิงมาเตรียมพร้อมไว้ และลองฉีดน้ำสกัดเข้าไปยังจุดที่ไฟลุก ปรากฏว่าควันไฟคุ้งสูง จึงระงับการดับไฟดังกล่าวไว้ก่อน คอยแต่ควบคุมสถานการณ์ไม่ให้คนและสัตว์เลี้ยงเข้าใจ และคอยฉีดน้ำสกัดรอบ ๆ
สำหรับจุดที่เกิดไฟลุกใต้ผิวดินนั้น เป็นเนินดินขนาดความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร -1 เมตร สูงจากพื้นนาปกติ มีความกว้างประมาณ 15 เมตร ยาวประมาณ 40 เมตร พื้นที่รอบ ๆ เป็นที่นา พื้นที่ด้านทิศใต้ที่ติดกับถนน เป็นที่ดินของหจก.ชาตรีบุญฤทธิ์ ที่ถมดินสูงกว่าพื้นนาปกติ ร่วม 3 เมตร
ในช่วงบ่ายของวันที่ 25 เมษายน 2555 สำนักงานทรัพยากรธรณีเขต 1 ( ลำปาง นายสมบุญ โฆษิตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรณธรณี เขต 1 ( ลำปาง ) นายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล นายอำเภอนครไทย นายประสิทธิ พัฒนยิ่งใหญ่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพิษณุโลก น.ส.อิสราภรณ์ สุจาโน รักษาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลก พร้อมเจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณี ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว เพื่อพิสูจน์ทราบว่า บริเวณที่ไฟลุกไหม้ใต้ดินนั้น เกิดจากสาเหตุอะไร และต้องหาวิธีการจัดการป้องกันแก้ไขอย่างไร
เจ้าหน้าที่สำนักทรัพยากรธรณีเขต 1 ลำปาง ได้ใช้เหล็กแหลม ขุดเจาะสำรวจบริเวณดังกล่าว 3 จุดลึกลงไปประมาณ 2 เมตร เพื่อตรวจสอบว่าชั้นใต้ดินว่ามีเชื้อเพลิงอะไรบ้าง โดยขุดเจาะบริเวณที่เกิดไฟลุกไหม้ลงไป 1 จุด เบื้องต้นพบว่า มีชั้นเถ้าถ่าน ที่เป็นเชื้อเพลิงของไฟลุกไหม้หน้าประมาณ 1 เมตร อยู่บริเวณผิวดิน ขณะที่ลึกลงไป เป็นชั้นผิวดินเดิมปกติ และอีก 2 จุด ทำการขุดเจาะบริเวณทุ่งนา รอบ ๆ จุดที่ไฟประทุใต้ดิน เพื่อนำไปเปรียบเทียบ
นายสมบุญ โฆษิตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรณธรณี เขต 1 ( ลำปาง ) เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้อยู่ในพื้นที่เดิม เบื้องต้นทราบว่า พื้นที่ที่ไฟกำลังลุกไหม้ใต้ดินขณะนี้นั้น ในอดีตเคยเป็นเตาเผาถ่านเก่า จำนวน 3 เตา ด้านหลัง เป็นโรงเลื่อยเก่า ในอดีต เคยมีการประกอบกิจการเผาถ่านบริเวณนี้ และมีการนำขี้เลื่อยมาทิ้งไว้ แต่ได้เลิกกิจการเตาเผาถ่านไปนานแล้วร่วม 30 ปี ขณะพื้นที่บริเวณนี้ ได้เกิดน้ำท่วมทุกปี จากน้ำแควน้อยล้นตลิ่งในช่วงฤดูฝน ทำให้เกิดการสะสมของซากพืช ซากสัตว์ และชั้นทราย ชั้นดินไปปิดทับ ทำให้เกิดปฏิกิริยาสันดาป ก่อให้เกิดแก๊สชีวภาพ ที่คาดการณ์เบื้องต้นว่า เป็นแก๊สมีเทน ที่สามารถติดเป็นไฟได้เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เป็นแก๊สที่ไม่มีกลิ่น เป็นธรรมชาติที่เกิดได้ในหลายพื้นที่ ลักษณะคล้าย ๆ กับไฟไหม้ป่าพลุในเขตภาคใต้ ที่จะเกิดไฟลุกไหม้ใต้ดิน
นายสมบุญ เผยต่อว่า ได้เจาะชั้นดิน 3 จุด ทั้งจุดที่ไฟลุกไหม้ และพื้นที่รอบ ๆ เพื่อนำไปพิสูจน์ สถานการณ์ขณะนี้ เชื่อว่ายังคงลุกไหม้ต่อไป และไม่รุนแรง เพียงแต่ต้องกันไม่ให้คนและสัตว์เข้าไปใกล้บริเวณดังกล่าว หรือต้องขุดเปิดหน้าดิน เพื่อให้ไฟได้เผาไหม้ได้หมด และจะดับไปเอง
ขณะที่ช่วงเย็นของวันเดียวกัน กรมควบคุมโรค สำนักงานป้องกัน ควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก นำเข้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดแกสพิษในบรรยากาศ ที่สามารถตรวจหาก๊าซพิษได้มากกว่า 100 ชนิด โดยตรวจสารพิษบริเวณรอบ ๆ หลุมไฟเนื้อที่ประมาณ 1 งาน
นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า หลังจากมีการพบปรากฏการณ์หลุมไฟ ไฟลุกจากใต้ดินในอ.นครไทย ในวันนี้ กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด หรือ miran มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบ ๆ หลุมไฟ ซึ่งตรวจพบหลายชนิด ผลปรากฏว่า พบแกสหลายชนิด ทั้ง มีเทน แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมีสองชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 ppm เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 ppm และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ SO 2 ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 ppm แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า
นายกิตติ แต่ตัวที่มีปัญหาและน่าห่วงคือมากที่สุด แก๊ส คาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานมา 3 ppm นั้น เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก คาร์บอนไดซัลไฟล์ เป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ เวลารอยจะรอยเรี่ยพื้น จึงอยู่ในระดับที่จมูกคนยืนพอดี สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะ เจ็บหน้าออก ปวดกล้าวเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพารากิลสันที่สั่นตลอด รวมท้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้อง ไม่ควรมารับสารพิษชนิดเลย เวลานี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง สารชนิดอาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง แต่เรายังไม่ยืนยัน คนตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างไกล
ขณะที่อบต.หนองกะท้าว ได้จัดทำป้ายเตือนประกาศเขตอันตราย มีสารปนเปื้อน เพื่อเตือนประชาชนที่สนใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ให้เข้ามาใกล้กับหลุมไฟดังกล่าว โดยติดตั้งทั้งริมถนนบ้านแยง-นครไทย และใกล้ ๆ จุดที่เกิดหลุมไฟ แต่ป้ายเตือนก็ไม่สามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็นของประชาชนได้ ชาวบ้านที่พากันมาดูตั้งแต่เช้ายันค่ำ ต่างต้องการเข้าไปชมใกล้ ๆ หลุมไฟ บางรายใช้วิธีโยนก้อนดินเข้าไปในหลุมไฟ เพื่อจะเห็นประกายไฟพวยพุ่งออกมา และแม้ว่าในวันที่สองของการตรวจหาก๊าซพิษของกรมควบคุมพลพิษ เมื่อ 26 เมษายน ยังคงพบว่าก๊าซทั้งสองตัวมีอยู่สูงมาก ก็ยังไม่สามารถห้ามประชาชนเข้าใกล้หลุมไฟได้
และช่วงขณะที่ชาวอำเภอนครไทย กำลังแตกตื่นกับปรากฏการณ์หลุมไฟอยู่นั้น ที่อบต.หนองกะท้าวบริษัท ทวินซ่า ออยล์ ลิมิเต็ด บริษัท โปรเอ็น เท็คโนโลยี่ จำกัด และกระทรวงพลังงาน ได้มาทำประชาพิจารณ์ขอความเห็นจากชาวบ้านหนองกะท้าว ในการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อเตรียมตั้งแท่นขุดเจาะสำรวจหาปิโตรเลียม ในพื้นที่ม.17 ต.หนองกะท้าว อยู่ห่างจากจุดที่เกิดหลุมไฟม.9 ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 20 กิโลเมตร ณ จุดนี้ จากการดำเนินการสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนแบบสองมิติ ประเมินว่า จะมีก๊าซธรรมชาติอยู่ประมาณ 215 พันล้านลูกบาศก์ฟุต เป็นไซด์ขนาดเล็ก แต่ก็ถือว่ามาก หากขุดพบและสามารถนำขึ้นมาใช้ได้ แต่เป็นคนละส่วน ไม่เกี่ยวเนื่องกับปรากฏการณ์หลุมไฟที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากก๊าซธรรมชาติ อยู่ใต้แผ่นหินหนาถึง 3 ชั้น และการขุดเจาะต้องขุดลึกลงไปประมาณ 1,700 เมตร ขณะที่หลุมไฟที่เกิดขึ้นนั้น มีชั้นของการสะสมขี่เลื่อยลึกจากผิวดินไม่เกิน 2 เมตร
กระทั่งเย็นวันที่ 27 เมษายน เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมโรค ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิษณุโลก ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 9 พิษณุโลก อบต.หนองกะท้าว ก็สามารถปิดกระแสแตกตื่น ใช้รถแบ็คโคร เปิดหน้าดินหลุมไฟ ฉีดน้ำครอบคุลมโดยรอบ ใช้เครื่องสูบน้ำระยะไกล สูบน้ำจากแม่น้ำแควน้อยมาใส่หลุมไฟ ผลสรุปที่เห็น คือกองเตาถ่านขนาดใหญ่ ที่มีชั้นความหนาของเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ลักษณะเหมือนเตาถ่านหนา 1-2 เมตร และยังสูบน้ำมาหล่อเลี้ยงหลุมไฟให้ดับสนิทถึงวันที่ 29 เมษายน
ปรากฏการณ์แผ่นดินลุกเป็นไฟที่อ.นครไทย จ.พิษณุโลก หลังจากผ่านอาการแตกตื่น และมีการลงพื้นที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง มีการศึกษาทางหลักวิชาการ การเฝ้าระวัง ถือเป็นบททดสอบอย่างดี ของหน่วยงานภาครัฐของจังหวัดพิษณุโลก ที่จะมาสามารถรับมือกับภัยพิบัติขนาดใหญ่ได้ดีและรวดเร็วแค่ไหน หลุมไฟนครไทยครั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นแม้จะเป็นภัยที่ไม่รุนแรง ไม่สร้างผลกระทบวงกว้าง แต่ในยุคสื่อสารไร้พรมแดน แต่ก็เป็นตัวพิสูจน์ได้ดีว่า หน่วยงานภาครัฐทั้งในท้องถิ่น ในพิษณุโลกและส่วนกลาง ทำได้ดีพอสมควร ในการเข้าควบุคมสถานการณ์ โดยเฉพาะการสยบอาการตื่นตระหนก แตกตื่น ของประชาชน ในช่วงวันแรก ๆ ที่ปรากฏเป็นข่าว
ทีมข่าวพิษณุโลกฮอตนิวส์/ รายงาน