นายเยี่ยม ตาเห็น และนางลำไย ตาเห็น สองสามีภรรยา ต.บ้านป่า อ.เมือง จ.พิษณุโลก ที่ก่อนหน้านี้ทำนาเป็นอาชีพหลักเพียงอย่างเดียว แต่ในพื้นที่ดังกล่าวได้เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ จึงส่งผลให้ครอบครัวต้องลำบากมีหนี้สินอยู่จำนวนมาก แต่มาระยะหลังนี้นางสาวรัดดา ตาเห็น ลูกสาวของนายเยี่ยม ตาเห็น ได้ทำงานในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลหัวรอ และได้ศึกษาเกี่ยวกับการทำเกษตรแบบพอเพียงจากแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ และได้นำมาปรับใช้ที่บ้านจึงส่งผลให้หนี้สินที่มีอยู่ลดลงและหมดหมดลงในที่สุด
นายเยี่ยม เล่าให้ฟังว่าหลังจากได้ศึกษาการทำการเกษตรแบบพอเพียงแล้วนั้น ตนเองได้ทดลองเลี้ยงวัวควบคู่ไปกับการทำนา แต่ผลที่ได้กลับไม่ตรงตามความต้องการ ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาทำแปลงผัก เลี้ยงไก่ แทน และผลที่ได้รับก็เป็นกำลังใจให้ต่อสู่ต่อไปได้
การเลี้ยงไก่นี้นอกจากจะได้ไข่ไว้กินแล้ว ยังสามารถนำไปขายได้ด้วย โดยนายเยี่ยมและนางลำไย ได้ขายไข่ให้กับคนในชุมชนในราคาฟองละ 3 บาท หากซื้อไปจำหน่ายต่อ ก็จะขาย 10 ละ 35-37 บาท รายได้ในการขายไข่ไก่ นายเยี่ยมบอกว่า ภายใน 1 วัน สามารถขายไข่ไก่ได้มากถึงวันละ 400-500 บาท เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีผักที่ตนเองปลูกไว้กินหลังบ้านอีกด้วย ที่สามารถขายได้เมื่อผลผลิตออกมาในจำนวนมาก โดยผักที่ปลูกนั้นก็จะมี กวางตุ้ง ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว หอมผักชี ฟักทอง บวบ มะเขือ มะนาว เป็นต้น และสามารถจำหน่ายได้ถึงวันละ 200 บาท
นอกจากนี้ทุกๆวันหลังเลิกเรียน และวันเสาร์ อาทิตย์ นางสาวรัดดา ตาเห็น ได้หารายพิเศษให้กับครอบครัวและเด็กๆในชุมชน โดยการทำพรมเช็ดเท้าส่งให้กับโรงงานในย่าน ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ในราคาผืนละ 15 บาท แต่ถ้าหากคนในหมู่บ้านหรือใครที่ต้องการซื้อเพียงผืนเดียวก็จะจำหน่ายในราคาผืนละ 20 – 25 บาท สำหรับพรมเช็ดเท้านี้นางสาวรัดดา กล่าวว่า ตนเองและเด็กๆ สามารถผลิตได้เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ ตกราวๆ วันละ 50 ผืน แต่ถ้าหากเป็นวันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ จะผลิตได้วันละ 10 – 20 ผืน ดังนั้นรายได้จากการจำหน่ายพรมเช็ดเท้าจะได้รับประมาณเดือนละ 4,000 – 5,000 บาท
ด้านนางลำใย ตาเห็น ผู้เป็นแม่ก็จะรับจ้างเย็บผ้า แก้ทรง เปลี่ยนซิป ทุกอย่างตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งรายได้จากการเย็บผ้านี้จะอยู่ระหว่าง 400 – 500 บาทต่อวัน รวมๆแล้วครอบครัวนี้มีรายได้มากถึง 17,000 – 20,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว หากสนใจติดต่อ คุณรัดดา 086-2117249