โดย คมดงเสือ ( 9 พ.ย.54)
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ( 5-6 พ.ย.54) ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาส เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ นั่นก็คือ ประเทศเพื่อนบ้าน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (LAO) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปี 2552 เคยเดินทางไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็อดติดใจไม่ไหว เมื่อพี่รุ่นใหญ่ ของนักข่าวของจังหวัดพิษณุโลก ได้ชวนอีกครั้ง ผมรั้งรอที่จะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินทางไปกับพี่ๆ เขาด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่ลาว นั้นมีเมืองที่น่าท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งเวียงจันทน์ หลวงพระบาง ปากเซ่ เนื่องจากมีธรรมชาติ ประเพณี และวัฒนธรรม ที่น่าชมเป็นอย่างมาก
เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตีห้า เดินทางโดยรถตู้ 2 คันไปถึงเวียงจันทน์ เมืองหลวงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประมาณบ่าย 2-3 จากนั้นก็พักผ่อนที่โรงแรมอานุ พาลาได โฮเต็ล ในการเดินทางไปเวียงจันทน์ นั้นผมจะสนุกกับการอ่านตัวหนังสือของสองฝากฝั่งถนน เพราะว่าตัวหนังสือมีลักษณะใกล้เคียงกับอักษรไทย ทำให้ต้องอ่านตัวสะกดกันอย่างเมามันส์ทีเดียว
นอกจากนี้สิ่งที่ผมชื่นชอบอีกอย่างหนึ่งคือ ตัวหนังสือท้ายรถยนต์แต่ละคัน เขาจะขึ้นด้วย “กำแพงพระนคร” กันทุกคัน ผมถามประวัติจากไกด์ หรือคนขับรถตู้ ว่าทำไมถึงต้องใช้คำนี้ ก็ได้ใจความว่า แต่เดิม เวียงจันทน์ (Vientiane) เป็น เมืองที่มีมาเก่าแก่ ตามตำนานการสร้างเมืองบางสำนวนกล่าวว่า มีฤาษีสามพี่น้องมาปักหลักไม้จันทน์หมายเป็นเขตสร้างบ้านแปงเมืองบริเวณนี้จึงได้ชื่อว่าเวียงจันทน์ พ.ศ. 2103 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนเมืองเชียงดง-เชียงทอง (หลวงพระบาง) มีกษัตริย์ปกครองต่อเรื่อยมา จนกระทั่งลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นคอมมิวนิสต์ นครเวียงจันทน์จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเมืองหลวงของประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2518 นครเวียงจันทน์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เป็นเมืองที่ยังคงร่องรอยสมัยอาณานิคมอยู่มาก ถนนล้านช้างเป็นถนนสายสำคัญที่สุด สองฟากถนนเรียงรายไปด้วยสถานที่ทำการของรัฐบาล ธนาคาร บริษัทท่องเที่ยว ฯลฯ โดยอาคารบางส่วนเป็นตึกแบบยุโรปจากสมัยที่ลาวเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
คำว่า “ กำแพงพระนคร” นี้ผมชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้ทีเดียว
นอกจากนี้อาหารที่กำแพงพระนครเวียงจันทน์ นี้ก็มีเอกลักษณ์ไม่น้อยรสชาติออกหวาน แต่สิ่งสำคัญต้องมีกะปิ ไว้ตามโต๊ะอาหาร สร้างรสชาติหอมหวานเป็นอย่างมาก แต่ที่รุ่นพี่นักข่าว ของผมชื่นชอบไม่น้อย คือ ปลาหนัง หรือ ปลาไม่มีเกร็ด คนไทยเรียกว่าปลาเนื้ออ่อน นั่นเอง ราคาแพงมากครับ จานละ 70,000 กีบ หรือราคาประมาณ 280 บาท แต่ที่ราคาถูก คือเบียร์ลาว หรือ เบ้ยลาว มีราคาเพียง 40 บาทเท่านั้น เรียกว่ากินอาหารอร่อย แถมเมาเบียร์กันเพลินเลยครับ
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราได้เดินเล่นบริเวณโรงแรม เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตยามเช้า ของชาวเมืองกำแพงพระนครเวียงจันทน์ ที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย พวกเราได้เก็บภาพถ่ายได้อย่างสนุกสนาน ก่อนเดินทางกลับ ก็ไปกินแหนมเนืองที่ร้านชื่อดังของเมืองหลวงแห่งนี้ รสชาติอร่อย หอมหวาน หากใครได้รับประทานก็ติดใจหาโอกาสกลับไปกินใหม่
หากใครยังไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงเริ่มเข้าหน้าหนาวนี้ นอกจากสัมผัสกับสถานที่เมืองไทยแล้ว ก็ลองเดินทางเลยไปทางหนองคาย ข้ามสะพานแม่น้ำโขง ไปเที่ยวเวียงจันทน์ กันดูได้นะครับ
//////